การมีทรงจมูกที่สวยเหมาะกับหน้าเราก็จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ และทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูสวยโดดเด่นขึ้นได้ ส่งผลให้การศัลยกรรมเสริมจมูกปัจจุบันก็ได้รับความนิยมสูงตามไปด้วย เพราะเป็นทางลัดที่ช่วยปรับรูปทรงจมูกให้ได้ตามต้องการ เนรมิตจมูกเป็นทรงใหม่ ให้สวยเป๊ะสะกดทุกสายตา
แต่ก่อนตัดสินใจไปเสริม ก็แนะนำหาข้อมูลให้ดีก่อนว่ามี ทรงจมูกสวย ๆ แบบไหนน่าสนใจบ้าง และทรงไหนจะเหมาะกับเราที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมก่อนไปปรึกษาศัลยแพทย์เสริมจมูกต่อ บทความนี้ได้รวบรวมทรงจมูกสุดฮิตหลากหลายทรงที่มาแรงในปี 2024 มาไว้ให้แล้ว พร้อมแนะนำวิธีเลือกทรงจมูกให้รับกับรูปหน้าด้วย ไปดูกันเลย
ทรงจมูก คืออะไร
ก่อนอื่นมารู้จักคำว่า “ ทรงจมูก ” กันก่อน ทรงจมูก หมายถึง รูปร่างหรือลักษณะของจมูก ประกอบด้วยสันจมูก ปลายจมูก และส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยให้จมูกแต่ละคนมีรูปทรงที่แตกต่างกัน บางคนอาจมีจมูกโด่งเป็นสันตั้งแต่เกิด ขณะที่บางคนอาจมีสันจมูกเตี้ย ปลายจมูกป้าน
รวม ๆ แล้วทรงจมูกที่นับว่าสวย คือทรงที่มีความสมดุลและสัดส่วนลงตัว รับกับใบหน้า ช่วยเพิ่มมิติและความโดดเด่นให้กับภาพรวมของหน้า สำคัญคือดูดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยแต่ละคนก็มีทรงจมูกในอุดมคติของตัวเองที่แตกต่างกันไป
อัปเดต! ทรงจมูกสุดฮิต เสริมแล้วปัง
ในปี 2024 วงการศัลยกรรมตกแต่งจมูกได้พัฒนาเทคนิคและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อผลลัพธ์ทรงจมูกที่สวยดูดีเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สาว ๆ มีตัวเลือกทรงจมูกหลากหลาย แต่ก็ยังมี “ ทรงจมูกสุดฮิต ” บางทรงที่ครองใจผู้คนมาอย่างต่อเนื่อง มาดูกันว่ามีทรงไหนบ้าง เหมาะกับใคร และแต่ละทรงมีข้อดีอย่างไรกันค่ะ
1. ทรงจมูกเกาหลี
“ ทรงจมูกเกาหลี ” ต้องบอกเลยว่ายังได้รับความนิยมสูงสุดเช่นเดิม เพราะให้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนหวาน มีเสน่ห์แบบสาวเอเชีย ข้อดีคือเป็นทรงจมูกที่สามารถปรับให้เข้ากับใบหน้าคนเอเชียได้ดีมาก เพราะมีความโด่งพอประมาณ เน้นความเรียวและความสโลปของสันจมูก ประกอบกับปลายจมูกที่มนเล็กน้อย ช่วยให้จมูกดูเนียนเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งปรับมุมองศาของปลายจมูกได้ตามต้องการ เพื่อให้ดูนุ่มนวลหรือเชิดหรูขึ้น
จมูกทรงเกาหลีเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการจมูกสวยธรรมชาติ ลงตัวกับรูปหน้า โดยเฉพาะสาวหน้าเล็กหรือหน้าไม่เหลี่ยมมาก สามารถเพิ่มมิติให้ใบหน้าในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้เน้นความแหลมคม มองแล้วไม่ดูแข็งเกินไป แต่งหน้าง่าย จะหนักหรือเบาก็รับได้หมดค่ะ
2. ทรงจมูกสายฝอ (จมูกทรงฝรั่ง)
สำหรับสาว ๆ ที่ชอบความโฉบเฉี่ยว เข้ม ปราดเปรียว สไตล์สาวฝรั่ง มาทางนี้เลย “ ทรงจมูกสายฝอ ” จุดเด่นคือความโด่งของสันจมูกที่ชัด สูงเด่น มองจากมุมไหนก็เห็นความโด่งที่หนักแน่น มีออร่า ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูเป็นผู้นำ มีความมั่นใจ
แต่การทำจมูกทรงสายฝอให้สวย และปังไม่แพ้ฝรั่งจริง ๆ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของเนื้อและกระดูกจมูกที่ค่อนข้างหนา หรือมีความแข็งระดับหนึ่ง เพื่อรับแรงกดทับของซิลิโคนที่จะมาเสริมให้สันจมูกโด่งสูง ไม่งั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างซิลิโคนทะลุผิวหนังได้ ทรงจมูกนี้ ไม่ค่อยเหมาะกับสาวหน้ากลมหรือแก้มป่อง เพราะยิ่งจะทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล แนะนำเป็นสาวที่ใบหน้าค่อนข้างเรียวหรือมีสันกรามชัดค่ะ
3. ทรงจมูกธรรมชาติ
“ จมูกทรงธรรมชาติ ” ตามชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นการเสริมจมูกแบบ น้อยแต่มาก คือแค่ปรับจมูกเดิมเล็กน้อย ในจุดที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ปรับแต่งสันจมูกให้โด่งขึ้น 1-2 มิลลิเมตร หรือเติมเต็มปลายจมูกที่งุ้มให้พองาม แต่ภาพรวมแล้วยังดูคล้ายจมูกเดิมอยู่ เพียงแต่ภูมิฐานขึ้น ดูดีขึ้นกว่าเดิม
ทรงจมูกนี้เหมาะกับคนที่จมูกทรงสวยอยู่แล้ว แค่อยากแต่งแต้มนิดหน่อย หรือเป็นสาว ๆ ที่ชอบความธรรมชาติ ไม่อยากศัลยกรรมจมูกหนักจนคนมองออก ก็สามารถเลือกทำได้สบายใจ หมดกังวลว่าจะดูเป็นจมูกปลอม เพราะเน้นความกลมกลืน ปรับแค่พอดูดีขึ้นแบบพอดี ๆ ข้อดีคือไม่ต้องพึ่งวัสดุเสริมมาก ฉีดฟิลเลอร์เติมก็ช่วยได้ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน และความเสี่ยงจากการผ่าตัดน้อยกว่าการเสริมแบบหนัก ๆ อีกด้วย
4. ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง
หากพูดถึงทรงจมูกที่นิยมอันดับต้น ๆ ก็ต้องยกให้ “ ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง ” เลยค่ะ จุดเด่นทรงนี้อยู่ที่สันจมูกซึ่งมีลักษณะโค้งมนเป็นทรงตัว S อ่อน ๆ ตั้งแต่คิ้วจนถึงปลายจมูก ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนโยน และยิ่งมีปลายจมูกเชิดตั้งขึ้นอีกนิดก็ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์
ข้อดีของทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง คือการเซ็ตระดับความโค้งของสันจมูกและองศาปลายจมูกแบบกำลังพอดี เป็นการผสานข้อดีระหว่างความเป็นธรรมชาติกับความโดดเด่นเข้าไว้ด้วยกัน ให้ลุคที่ดูอ่อนหวานแต่ไม่ขาดความมั่นใจ เหมาะกับสาวหน้าหวานทั่วไป แถมยังแต่งหน้าง่ายทั้งลุคใสกิ๊งหรือลุคหนักจัดเต็ม เพราะมิติที่ชัดเจน ไม่ต้องกลัวว่าแต่งหน้าจัดแล้วจมูกจะหาย หรือดูแข็งทื่อเวลาแต่งน้อย ๆ เรียบ ๆ ค่ะ
5. ทรงจมูกหยดน้ำ
สำหรับสาว ๆ ที่มีใบหน้ายาวรูปไข่ อยากเสริมลุคให้ดูเพรียวบาง ลองมารู้จักกับ “ ทรงจมูกหยดน้ำ ” กันค่ะ ความพิเศษของทรงนี้อยู่ที่การเน้นความเรียวเล็กของจมูก โดยเฉพาะบริเวณส่วนปลายที่เซ็ตให้มีลักษณะเป็นหยดน้ำ เรียวแหลมคล้ายหยดน้ำกำลังจะหยดลงมาจากขอบจมูก ช่วยขับเน้นให้จมูกดูผอมบาง ไล่ระดับจากสันมาถึงปลายได้อย่างธรรมชาติ
ซึ่งหมอแต่ละคนจะมีเทคนิคในการเซ็ตความโค้ง และความแหลมของปลายหยดน้ำได้ต่างกัน ตั้งแต่แบบหยดน้ำชัดเจนไปถึงแบบที่เป็นทรงกลมเล็กน้อย ให้ความรู้สึกต่างกัน เช่น แบบแหลมชัดจะช่วยเสริมลุคให้คมเข้ม ดูเป็นผู้ใหญ่ เหมาะกับการแต่งหน้าโทนเข้มค่ะ ส่วนแบบที่เล็กกลมมน จะให้ลุคที่อ่อนละมุน น่ารักสดใส เหมาะกับการแต่งหน้าฉ่ำ ๆ วิ้ง ๆ
6. ทรงจมูกปลายเชิด
ถึงจะดูเรียบง่าย แต่ “ ทรงจมูกปลายเชิด ” ก็เป็นทรงที่ช่วยเปลี่ยนลุคให้ดูเปรี้ยวขึ้นได้น่าทึ่ง ด้วยการปรับมุมองศาปลายจมูกให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าดูคมเข้มขึ้น เต็มไปด้วยออร่าความมั่นใจ สะกดสายตาคนรอบข้างได้เฉียบขาด
ทั่วไป ทรงจมูกปลายเชิดเป็นตัวเลือกในอุดมคติ สำหรับคนที่มีปลายจมูกงุ้มหรือปลายจมูกตกมาก เพราะการยกปลายจมูกขึ้นก็จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ให้จมูกได้รูปสวย ดูสง่า แต่ขณะเดียวกัน สาว ๆ ที่ปลายจมูกธรรมดา ก็สามารถเลือกทำทรงนี้ได้ค่ะ
แต่การเชิดปลายจมูกก็ต้องคำนึงถึงสัดส่วนโดยรวมของใบหน้าด้วย ไม่แนะนำให้เชิดสูงเกินไปจนขาดความกลมกลืน และควรผสานเข้ากับความโด่งของสันจมูก เพื่อให้ได้ทรงจมูกที่มีมิติสมบูรณ์แบบ งานนี้ต้องใช้ความละเอียดกับประสบการณ์ของศัลยแพทย์พอสมควร เพื่อให้ออกมาสวยปังตามต้องการ
7. ทรงจมูกบาร์บี้ไลน์
ส่วนใครที่อยากได้ลุคสดใสแบ๊วแบบตุ๊กตาบาร์บี้ ต้อง “ ทรงจมูกบาร์บี้ไลน์ ” เลยค่ะ ความพิเศษคือการเพิ่มความน่ารักหวานซ้อนลงไปในทรงจมูกมาตรฐานทั่วไป คือมีลักษณะเป็นสันจมูกโค้งมนที่ค่อย ๆ ไล่ระดับลงมา โดยอิงกับสัดส่วนความสูงของหน้าผากแต่ละคน แล้วเบนเข้าหาปลายจมูกที่มีลักษณะหยดน้ำเชิดนิด ๆ คล้ายหัวใจ ได้เป็นภาพรวมของจมูกที่อ่อนหวานกำลังดี เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูน
ทรงจมูกบาร์บี้ไลน์ เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากเสริมลุคให้ดูสวยหวานขึ้น แต่ไม่เน้นความเป็นผู้ใหญ่หรือเซ็กซี่เกิน เป็นจมูกที่ช่วยเติมความน่ารักสดใสให้ใบหน้า และไม่ต้องกลัวว่าความหวานจะกลบความมั่นใจ เพราะลักษณะคล้ายหัวใจที่ปลายจมูกก็ดูมีเสน่ห์ชวนค้นหา เป็นกิมมิคดึงดูดใจไม่น้อยเลยค่ะ
8. ทรงจมูกตั๊กแตน
ปิดท้ายด้วยทรงจมูกที่เพิ่งมาแรงระยะหลัง อย่าง “ ทรงจมูกตั๊กแตน หรือ ทรงจมูกแมนทิส ” ที่บอกเลยว่าเอาอยู่ทั้งเรื่องความสวยและความแปลกตา เพราะใช้ซิลิโคนทรงพิเศษที่ออกแบบมาให้เข้ากับแนวสันจมูกได้อย่างกลมกลืน มีลักษณะเป็นแนวสันตรงจากหน้าผากมาจนถึงปลายจมูก ซึ่งจะทำมุมลาดเอียงลงเล็กน้อยเหมือนหัวตั๊กแตน เมื่อเสริมแล้วจะทำให้สันจมูกดูสูงโด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ทรงจมูกตั๊กแตน นอกจากทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูดีขึ้นแล้ว ยังมีข้อดีคือซิลิโคนจะเข้าไปแนบสนิทกับแนวกระดูกจมูก ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาจมูกเบี้ยวได้ในระยะยาว แต่การทำทรงนี้ให้สวยอาจต้องอาศัยผิวจมูกและเนื้อเยื่อที่หนาพอสมควร เพื่อรองรับความโด่งของทรงตั๊กแตน โดยไม่ทำให้ขอบซิลิโคนปรากฏชัดเจนเกินไปค่ะ
เลือกทรงจมูกอย่างไร ให้เข้ากับใบหน้า
นอกจากเลือกทรงจมูกสวย ๆ แล้ว ยังต้องเลือกให้เหมาะกับหน้าของเราด้วย เพราะจมูกเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ต้องลงตัวกับรูปทรงใบหน้าโดยรวม ซึ่งมีปัจจัยที่ต้องนึกถึงอยู่หลายอย่างค่ะ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
รูปหน้า
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่ารูปหน้าของเราเป็นทรงไหน อย่างหน้ากลม หน้ารูปไข่ หน้าเหลี่ยม หน้ายาว หรือหน้าสี่เหลี่ยม เพราะรูปหน้าแต่ละคนจะเหมาะกับทรงจมูกที่แตกต่างกัน เช่น หน้ากลมไม่ควรเลือกจมูกที่มีสันโด่งสูงเกิน ควรเป็นทรงธรรมชาติหรือทรงปลายหยดน้ำจะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น ส่วนหน้าเหลี่ยมจะเหมาะกับจมูกที่มีความอ่อนโค้ง มีความนุ่มนวลมากกว่า
ความสูงของหน้าผาก
ความสูงหน้าผาก อีกปัจจัยสำคัญในการเลือกทรงจมูก แนะนำเลือกทรงที่ทำให้จมูกดูกลมกลืนกับหน้าผาก ไล่ระดับลงมาเป็นธรรมชาติ เช่น คนที่มีหน้าผากสูงหรือนูนมาก ก็ไม่ควรเสริมจมูกที่โด่งสูงเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้หน้าดูไม่สมดุล แต่ถ้าหน้าผากเตี้ย การเสริมจมูกให้โด่งเล็กน้อยก็จะช่วยเพิ่มมิติให้ใบหน้าดูดีขึ้น
ความกว้างของฐานจมูก
ลักษณะฐานจมูกก็มีผลต่อทรงจมูกที่จะเลือกเช่นกัน สาว ๆ ที่มีฐานจมูกกว้างหรือจมูกบาน ควรเลี่ยงทรงจมูกที่มีความโด่งสูงมาก เพราะทำให้จมูกดูไม่ธรรมชาติ แนะนำเน้นไปที่การแก้ไขปลายจมูกให้เรียวเล็กลง และอาจเสริมสันเล็กน้อยเพื่อปรับจมูกให้ดูเป็นสัดส่วนขึ้น ส่วนคนที่ฐานจมูกเล็ก ก็สามารถเลือกทรงเสริมได้หลากหลายกว่า แต่ควรพิจารณาความหนาของผิวจมูกด้วย ว่ามีมากพอที่จะรองรับซิลิโคนไหม
ทรงจมูกสำหรับรูปหน้าต่าง ๆ
การจะเลือกทรงจมูกให้สวยเป๊ะปัง นอกจากต้องชอบทรงนั้นแล้ว อีกสิ่งสำคัญ คือความเหมาะสมกับรูปทรงใบหน้าของเราด้วย เพราะจมูกจัดเป็นส่วนประกอบที่โดดเด่นสุดบนใบหน้า ทรงจมูกที่ดีควรกลมกลืนและสอดประสานกับส่วนอื่น ๆ อย่างลงตัว ไม่ขัดแย้งหรือแปลกแยกเกินไป เพื่อให้ดูน่ามอง
หลักการเบื้องต้น ในการเลือกทรงจมูกให้เหมาะกับรูปหน้า เราสามารถแบ่งทรงหน้าหลัก ๆ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ รูปหน้ากลม รูปหน้าเหลี่ยม และรูปหน้ายาว ซึ่งแต่ละกลุ่มจะเหมาะกับทรงจมูกที่ต่างกัน ดังนี้
ทรงจมูกสำหรับหน้ากลม
ใบหน้ารูปกลม รูปหน้าที่มีเอกลักษณ์คือความกลมมน ทั้งแก้ม คาง และหน้าผากที่ดูอวบอิ่ม ไม่มีสันกรามชัด ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนโยน แต่อาจขาดมิติไปบ้าง
ทรงจมูกที่ช่วยเพิ่มมิติได้ดีสุดคือ “ ทรงจมูกหยดน้ำ ” โดยเน้นการปรับสันจมูกให้มีความโด่งเล็กน้อย สร้างเป็นเหลี่ยมบาง ๆ ให้กับสันจมูก และลากเป็นเส้นตรงไล่ลงมาถึงปลายจมูกที่เรียวแหลมพองาม คล้ายกับหยดน้ำที่กำลังจะร่วงหล่นลงมา จะช่วยตัดเส้นสายใบหน้าให้ดูเพรียวบางขึ้น
วิธีนี้ทำให้เกิดจุดสนใจที่จมูก และเบนความสนใจจากความกลมมนของแก้มลงมาสู่บริเวณโหนกแก้มและปลายคางแทน เป็นการเน้นรูปหน้ารูปไข่ที่ถือเป็นสัดส่วนใบหน้าในอุดมคติของหลาย ๆ คนนั่นเอง
นอกจากนี้ “ ทรงจมูกธรรมชาติ ” อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ หากต้องการความกลมกลืน แค่ปรับแก้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เสริมเนื้อบางส่วนเข้าไปบริเวณสันและปลายจมูก เพื่อสร้างมิติเพิ่มเติม ก็สามารถจะช่วยปรับสมดุลให้ใบหน้าดูเป็นรูปไข่ขึ้นเล็กน้อย โดยคงความนุ่มนวลและอ่อนโยนตามธรรมชาติค่ะ
ทรงจมูกสำหรับหน้าเหลี่ยม
ถึงคนหน้าเหลี่ยมส่วนใหญ่จะดูเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์น่าค้นหา เพราะมีเค้าโครงใบหน้าชัดตั้งแต่หน้าผาก แก้ม ไปจนถึงกราม แต่บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองดูเข้มหรือดุเกินไป ต้องการลดทอนความกระด้างของเหลี่ยมสันให้อ่อนลง ให้ความรู้สึกนุ่มนวล เป็นมิตรมากขึ้น
เคล็ดลับการเลือกทรงจมูกสำหรับคนหน้าเหลี่ยม คือ เน้นทรงที่มีลักษณะเส้นโค้งมนเป็นหลัก เลี่ยงการสร้างเหลี่ยมที่ชัดเจนหรือตัดกันมากไป ไม่ว่าจะบริเวณสันหรือปลายจมูก เพื่อป้องกันไม่ให้รูปหน้าดูเข้มจนเกินงาม
ทรงจมูกที่แนะนำ คือ “ ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง ” เน้นไปที่การสร้างเส้นสายอ่อนโค้งให้กับสันจมูก ให้มีการลาดเทอย่างต่อเนื่องจากบริเวณหางคิ้วไล่ลงมาถึงปลายจมูก สร้างองศาที่พอดีให้กับปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย ช่วยให้ภาพรวมใบหน้าดูอ่อนโยน กลมกลืนไปกับเค้าโครงหน้าที่คมชัด
ระดับความโค้งและความเชิดของปลายจมูก สามารถปรับให้มากหรือน้อยได้ตามความเหมาะสมกับสัดส่วนใบหน้าของแต่ละคน ทั่วไปตามหลักการแล้วคนที่มีเหลี่ยมหน้าชัด ควรเลือกความโค้งที่อ่อนกว่า ส่วนคนที่มีเหลี่ยมหน้าไม่ชัด ก็สามารถเลือกความโค้งที่มากกว่าได้ โดยไม่ทำให้จมูกดูหักศอก
นอกจากนี้ “ ทรงจมูกบาร์บี้ไลน์ ” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเสริมความหวานให้กับใบหน้าเหลี่ยม ด้วยการผสานความโด่งของสันจมูกตามแนวคิ้วเข้ากับความมนของปลายจมูกที่คล้ายหยดน้ำ ทำให้ได้ลุคที่อ่อนหวานละมุนตา ลดความคมของเหลี่ยมสันลงไประดับนึง แต่ยังคงความเป็นผู้ใหญ่ เปี่ยมเสน่ห์เอาไว้ได้ไม่น้อย
ทรงจมูกสำหรับหน้ายาว
คนที่ใบหน้ารูปทรงยาว ส่วนใหญ่จะพบปัญหาภาพรวมของใบหน้าดูเรียวเพรียวเกินไป ทำให้รู้สึกขาดความสมดุลและมิติที่ลงตัว แนวทางการเลือกทรงจมูกสำหรับหน้ายาว คือการเลี่ยง ทรงจมูกหยดน้ำ เพราะจะยิ่งไปเน้นความยาวของใบหน้า
แต่ควรเป็นทรงที่ดูสั้น กะทัดรัด ไม่เน้นความยาวของสันจมูกมากเกินไป อย่าง “ ทรงจมูกเกาหลี ” ที่เน้นความเรียวของสันจมูก ไม่สูงโด่งมาก ผสานกับความมนของปลายจมูกที่ได้รูปสวย เมื่อมองด้านข้างจะเห็นว่าจมูกมีความยาวพอเหมาะ ไม่ดูเป็นจมูกที่สั้นเกินหรือยาวเกินจนหลุดโครงหน้า ช่วยปรับสมดุลให้หน้าดูกลมกลืนมากขึ้น
หรือจะเสริมความโดดเด่นอีกนิด ด้วย “ ทรงจมูกปลายเชิด ” ได้เช่นกัน ด้วยการปรับมุมเชิดที่ปลายจมูกนิด ๆ หน่อย ๆ ให้จุดสนใจไปอยู่ที่จมูก แทนที่จะเป็นความยาวของใบหน้า พร้อมกับสร้างเหลี่ยมมุมให้ใบหน้าดูมีมิติขึ้น โดยระดับการเชิดก็สามารถปรับได้ให้กำลังดี ดูพอดีกับสัดส่วนความยาวใบหน้า ไม่ยาวหรือสั้นจนเกินงาม เป็นการปรับจมูกในสไตล์ น้อยแต่มาก จริง ๆ ค่ะ
สรุป
การเลือก ทรงจมูก ให้สวยเป๊ะ ปัง สิ่งสำคัญคือการเลือกทรงที่เหมาะกับรูปหน้าของเรา ทั้งความกลมกลืนกับความสูงของหน้าผาก ความกว้างฐานจมูก และความเข้ากันได้กับรูปทรงใบหน้าโดยรวม ถึงจะทำให้ได้ทรงจมูกที่ไม่แค่สวยโดดเด่น แต่แลดูเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับใบหน้าอย่างลงตัวที่สุด
โดย ทรงจมูกสวย ๆ ที่กำลังมาแรงในปีนี้ ไม่ว่าจะ ทรงเกาหลี ทรงสายฝอ ทรงหยดน้ำ ทรงปลายพุ่ง ทรงบาร์บี้ไลน์ ทรงตั๊กแตน หรือทรงจมูกธรรมชาติ ก็ล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เหมาะกับรูปหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากสนใจทำจมูกจริง ๆ แนะนำให้เข้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อฟังคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมค่ะ
ฝากไว้สุดท้ายคือ ไม่ว่าจะเสริมจมูกหรือไม่ สำคัญคือการเรียนรู้ที่จะมองเห็นคุณค่าและรักษาเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวเอง เพียงแค่ปรับตรงนี้ตรงนั้นเล็กน้อยเพื่อความมั่นใจ แต่อย่าลืมว่าคุณก็สวยในแบบของคุณอยู่แล้ว เพราะความงามที่แท้จริงเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเรารู้สึกดีและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ค่ะ
ยุคที่ศัลยกรรมความงามกำลังมาแรง หนึ่งในศัลยกรรมที่นิยมสูงก็คือ “เสริมจมูก” เพราะหลายคนคงอยากเปลี่ยนจมูกให้สวยโด่งเป๊ะเป็นธรรมชาติ แต่อาจตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกวิธีไหนดี?
วันนี้เรามาเจาะลึกที่ การเสริมจมูกแบบปิดกับแบบเปิดต่างกันอย่างไร พร้อมเทียบข้อดี/ข้อเสีย เพื่อให้ตัดสินใจกันได้มั่นใจขึ้นค่ะสารบัญ เสริมจมูกแบบปิด
เสริมจมูกแบบปิด คืออะไร
เสริมจมูกแบบปิด (Closed Rhinoplasty) หรือ Endonasal rhinoplasty เป็นวิธีการศัลยกรรมจมูกที่ต่างจากการเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) ตรงที่แพทย์จะทำการผ่าตัดภายใต้เยื่อบุด้านในโพรงจมูกทั้งสองข้าง โดยไม่มีการกรีดหรือเปิดแผลภายนอก เป็นที่มาของชื่อ “ การเสริมจมูกแบบปิด ”
เทคนิคผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เป้าหมายหลักคือการเพิ่มความสูงหรือความโด่งให้กับสันจมูก โดยปรับแต่งรูปทรงปลายจมูกเล็กน้อย ให้ได้สัดส่วนสวยงาม สมดุลกับใบหน้า ต่างจากการผ่าตัดแบบเปิดที่ต้องเปิดแผลบริเวณผิวหนังด้านนอก เพื่อรื้อโครงสร้างกระดูกอ่อนภายในออกมาปรับแต่งใหม่ทั้งหมด
นิยมเสริมจมูกแบบปิดในกลุ่มผู้ที่จมูกทรงปกติ แค่ต้องการความโด่งเพิ่มขึ้น หรือเคยเสริมจมูกมาก่อนแล้ว แต่ต้องการความมั่นใจในการผ่าตัดเพิ่ม สำหรับบุคคลที่มีความผิดปกติของจมูกหรือผนังกั้นจมูก จมูกบิดเบี้ยว/เอียงมาก หรือผู้ที่ปลายจมูกสั้น/บางเกินไป ส่วนใหญ่ไม่เหมาะกับเทคนิคนี้ เพราะไม่สามารถแก้ไขได้ตรงจุดค่ะ
เทคนิคเสริมจมูกแบบปิด นิยมเพราะอะไร?
การเสริมจมูกแบบปิด เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะ
- ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นภายนอก ไม่ต้องกังวลเรื่องแผลนูนหรือตกสะเก็ด
- ระยะเวลาในการผ่าตัดสั้น ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- การพักฟื้นหลังผ่าตัดน้อยกว่าแบบเปิด เพราะแผลขนาดเล็กและอยู่ด้านใน
- ไม่ต้องใช้ยาสลบ เพียงฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณจมูก ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล
- ค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด
การเสริมจมูกแบบปิด เหมาะสำหรับใคร?
เทคนิคการเสริมจมูกแบบปิด ส่วนใหญ่เหมาะกับผู้ที่
- ต้องการเสริมจมูกหรือทำจมูกให้โด่งขึ้น โดยไม่ต้องแก้ไขส่วนอื่นของจมูก
- ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างจมูกที่ต้องได้รับการแก้ไขมากนัก
- โครงสร้างและรูปทรงจมูกเดิมอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ได้ผิดรูปเกินไป
- มีเนื้อหุ้มปลายจมูกพอสมควร ไม่เสี่ยงต่อการทะลุ
- ต้องการผลลัพธ์และการพักฟื้นเร็ว การผ่าตัดไม่ซับซ้อนเกินไป
ข้อดีและข้อจำกัดของการเสริมจมูกแบบปิด
ก่อนตัดสินใจว่าจะเสริมจมูกแบบปิดดีไหม? เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่ามีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง
ข้อดีการเสริมจมูกแบบปิด
- ไม่มีแผลเป็นภายนอก เพราะผ่าตัดจากด้านในโพรงจมูก
- ระยะเวลาผ่าตัดสั้นกว่า ใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง
- พักฟื้นหลังผ่าตัดได้เร็ว มีอาการบวมน้อยกว่า และหายไว
- ค่าใช้จ่ายถูกกว่า เพราะไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ซับซ้อน ราคาประหยัดกว่า
ข้อจำกัดการเสริมจมูกแบบปิด
- ไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างภายในจมูกได้มากนัก
- ไม่เหมาะกับปัญหาจมูกที่ซับซ้อน เช่น สันจมูกคด ปลายจมูกหลบใน ฯลฯ
- ผลลัพธ์ไม่ได้โด่งหรือพุ่งมาก เพราะข้อจำกัดจากพื้นที่ผ่าตัด
- เพิ่มความเสี่ยงในการเอียง เบี้ยว หรือทะลุในอนาคต กรณีใส่ซิลิโคนไม่ได้สัดส่วน หรือเนื้อปลายจมูกบาง
เข้าใจความต่างระหว่าง เสริมจมูกแบบปิดกับแบบเปิด
ถึงสองเทคนิคนี้จะคือการศัลยกรรมเสริมจมูกเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้
ตารางเทียบข้อดี/ข้อเสีย ระหว่างแบบปิดและแบบเปิด
เสริมจมูกแบบปิด |
เสริมจมูกแบบเปิด |
แผลอยู่ด้านใน มองภายนอกไม่เห็น | มีแผลขนาดเล็ก ซ่อนอยู่ใต้ฐานจมูก |
เหมาะสำหรับการเสริมครั้งแรก ที่ไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก | แก้ไขโครงสร้างและทรงจมูกได้ละเอียดมากกว่า |
เน้นการเสริมให้ดั้งโด่ง ใช้เวลาไม่นาน พักฟื้นเร็ว | ใช้เวลาผ่าตัดและพักฟื้นนานกว่าเล็กน้อย |
ไม่ต้องวางยาสลบ หลังผ่าตัดเช็คทรงจมูกได้เลย | ต้องใช้ยาสลบ อาจทำให้มีอาการมึนงงหลังผ่าตัด |
ไม่สามารถปรับทรงจมูกให้โด่งพุ่งหรือเปลี่ยนมากได้ | เหมาะกับการแก้ให้ได้ทรงที่ต้องการ เช่น สันจมูกตรง ปลายโด่งพุ่ง |
ราคาค่าใช้จ่ายเฉลี่ยถูกกว่า | ราคาสูง เพราะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลามากกว่า |
เสริมจมูกแบบปิด ต้องเลือกใช้วัสดุเสริมแบบไหน
วัสดุนิยมสำหรับใช้ในการเสริมจมูกแบบปิด แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- ซิลิโคน (Silicone) มีให้เลือกทั้งทรงตรง I-shape และ L-shape มีความแข็งและความนุ่มต่างกัน เช่น ซิลิโคนเกาหลี หรือซิลิโคน Mantis โดยซิลิโคนที่ไม่นุ่มเกินไปจะเหลาปรับเป็นทรงตามที่ต้องการได้ง่ายกว่า
- กระดูกอ่อนหลังหูผู้เข้ารับการผ่าตัด คือการนำกระดูกอ่อนที่ได้จากบริเวณหลังใบหูของคนไข้มาใช้เสริม ส่วนใหญ่นิยมนำมารองบริเวณปลายจมูก เพื่อป้องกันการทะลุของซิลิโคน วิธีนี้จำเป็นต้องผ่าตัดบริเวณหลังหูเพิ่มเติม
นอกจากนี้ บางครั้งอาจใช้เนื้อเยื่อไขมันบริเวณก้นกบ หรือเนื้อเยื่อเทียมที่ทำจากคอลลาเจนมารองเสริมอีกชั้นด้วย เพื่อช่วยเติมความหนาให้กับเนื้อเยื่อจมูก
ขั้นตอนก่อนการเสริมจมูกแบบปิด
เพื่อให้การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีและลดความเสี่ยงจากผลแทรกซ้อน สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนวันเสริมจมูกแบบปิด คือ
- งดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ
- หยุดใช้ยาบางประเภท เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน วิตามินอี ฯลฯ ตามคำแนะนำของแพทย์
- แจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว อาการแพ้ ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- ทำความสะอาดใบหน้า ล้างเครื่องสำอางให้หมดก่อนเข้าห้องผ่าตัด
- เตรียมเสื้อผ้าหลวม สบาย สำหรับใส่กลับบ้านหลังการผ่าตัด
- จัดเตรียมเวลาสำหรับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว
การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกแบบปิด
หลังการเสริมจมูกแบบปิด สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้แผลหายไว และได้ผลลัพธ์ที่สวยดูดีตามต้องการ โดยมีข้อแนะนำตามนี้
- ประคบเย็นบริเวณใบหน้าด้วยถุงเจลหรือน้ำแข็ง เพื่อลดอาการบวมและอักเสบ
- รับประทานยาลดปวดและแก้อักเสบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- นอนพักโดยหนุนหมอนสูง เลี่ยงการนอนคว่ำหรือตะแคงข้างจมูกที่เสริมจมูกแบบปิด
- เลี่ยงอาหารรสจัด อาหารแข็ง เหนียว หรืออาหารทะเล เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำเกลือ เช็ดทำความสะอาดบริเวณแผลภายในจมูกอย่างเบามือ
- เลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การอาบน้ำร้อนจัด แรงกระแทกบริเวณจมูก อย่างน้อย 1 เดือน
ผลลัพธ์หลังเสริมจมูกแบบปิด แต่ละช่วงเวลา
หลังจากผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้แต่ละช่วงจะแตกต่างกันไป ดังนี้
- 1 สัปดาห์แรก จมูกยังคงมีอาการบวม เจ็บ และอาจมีรอยช้ำ แต่ควรทุเลาลงเรื่อย ๆ
- 2-4 สัปดาห์ แผลจะเริ่มแห้งและตกสะเก็ด ความบวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด จมูกเริ่มอยู่ทรง
- 1-3 เดือน รอยแผลด้านในจะเริ่มจางหาย ปลายจมูกกับสันจมูกจะดูเรียวและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- 6 เดือนขึ้นไป จมูกจะเข้าที่สมบูรณ์ และเริ่มคงสภาพความสวยได้นานขึ้น
โดยผลลัพธ์สุดท้ายอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพผิว วิธีการผ่าตัด ฝีมือแพทย์ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิดด้วยค่ะ
สรุป
เห็นได้ว่า การเสริมจมูกแบบปิด มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดในตัวเอง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความโด่งให้ดั้งจมูกเป็นหลัก ไม่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอื่น ๆ มากนัก โดยเน้นการผ่าตัดที่รวดเร็ว แผลเล็ก และพักฟื้นไม่นาน
ส่วนการเสริมจมูกแบบเปิด ถึงแผลจะใหญ่และใช้เวลามากกว่า แต่ก็สามารถปรับแต่งทรงจมูกได้อิสระ เช่น ทำปลายพุ่ง แก้จมูกผิดรูป ลดขนาดจมูกให้เล็กลง เป็นต้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาจมูกค่อนข้างมากและซับซ้อน
ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีเสริมจมูก แนะนำให้ปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นรายบุคคล เพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะและปลอดภัย พร้อมทั้งคาดหวังผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จริง เพราะบางครั้งความงามอาจมาพร้อมกับความเสี่ยงและราคาที่ต้องแลก การศึกษาและทำความเข้าใจถึงข้อดี ข้อเสีย จึงช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรอบคอบและมั่นใจยิ่งขึ้นค่ะ
ยุคที่การศัลยกรรมความงามพัฒนาไปไกล การเสริมจมูกเป็นหนึ่งในศัลยกรรมยอดฮิตที่สามารถเปลี่ยนใบหน้าของบุคคลนั้น ๆ ได้มาก การเสริมจมูกปัจจุบันมีหลายเทคนิค ทั้งแบบ Open, Closed และ Semi Open ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
บทความนี้ จะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการ เสริมจมูกแบบ Semi Open ว่าคืออะไร เหมาะกับใคร มีข้อดีและต่างจากเทคนิคอื่น ๆ อย่างไรบ้าง พร้อมตอบคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการเสริมจมูกแบบ Semi Open กันค่ะ
เสริมจมูกแบบ Semi Open คืออะไร
เสริมจมูกแบบ Semi Open หรือ Semi-Open Rhinoplasty คือ เทคนิคการศัลยกรรมจมูกแบบหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างการผ่าตัดแบบ Open และ Closed โดยจะกรีดผ่าบริเวณด้านในรูจมูกทั้งสองข้าง (Bilateral intranasal incisions) เพื่อเข้าถึงโครงสร้างจมูกภายในได้ดีขึ้น ต่างจากการผ่าตัดแบบ Closed ที่เปิดเพียงด้านเดียว หรือแบบ Open ที่ต้องผ่าเปิดทั้งจมูก
เทคนิคเสริมจมูกแบบ Semi Open นี้ ทำให้ศัลยแพทย์สามารถเข้าถึงโครงสร้างจมูกด้านในได้มากขึ้น สามารถจัดวางตำแหน่งของซิลิโคนหรือกระดูกจมูกได้แม่นยำ อีกทั้งลดความเสี่ยงการเกิดความไม่สมดุลของจมูกได้ดีกว่าการผ่าตัดแบบ Closed ค่ะ
ข้อดีการเสริมจมูกแบบ Semi Open
การเสริมจมูกแบบ Semi Open มีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้เป็นทางเลือกนิยมในการศัลยกรรมจมูก ดังนี้
- ลดโอกาสจมูกเอียงหรือไม่สมดุล เพราะการเปิดแผลทั้งสองด้านช่วยให้จัดวางตำแหน่งของซิลิโคนหรือกระดูกได้แม่นยำ
- ลดปัญหารูจมูกไม่เท่ากัน สามารถจัดแต่งปีกจมูก (Alar) ให้ได้สมดุลมากขึ้น
- สามารถทำการเย็บอินเตอร์โดม (Interdomal suture) เพื่อเพิ่มความโด่งของปลายจมูกให้ดูเด่นได้ดีกว่าการผ่าตัดแบบ Closed
- แผลผ่าตัดซ่อนอยู่ด้านในรูจมูก ไม่มีรอยแผลเป็นภายนอกให้เห็น
- ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบ Open
ประโยชน์ทางการแพทย์
นอกจากประโยชน์ด้านความงามแล้ว การเสริมจมูกแบบ Semi Open ยังมีประโยชน์ทางการแพทย์ ในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างจมูกบางอย่างด้วย เช่น ผนังกั้นจมูกคด ปลายจมูกตก หรือจมูกที่เคยผ่าตัดมาแล้วแต่ได้ผลไม่ดี เพราะสามารถเข้าถึงโครงสร้างจมูกภายในได้มากกว่าเทคนิค Closed
ใครเหมาะกับการเสริมจมูกแบบ Semi Open
การเสริมจมูกแบบ Semi Open เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมจมูก กรณีต่อไปนี้
- ต้องการเพิ่มความสูงของสันจมูก และความโด่งของปลายจมูกให้ดูโดดเด่น
- มีปัญหาปลายจมูกตก หรือจมูกที่ใหญ่หนาไม่ได้รูป
- เคยทำจมูกแล้วแต่เกิดปัญหาซิลิโคนเอียง ปลายจมูกยุบตัว ต้องการแก้ไข
- มีปัญหาผนังกั้นกลางจมูกคด หรือรูจมูกไม่เท่ากัน
- มีเนื้อจมูกน้อย ไม่ต้องการใส่ซิลิโคนเสริมจมูกแบบ Open เพราะเสี่ยงต่อการทะลุ
ข้อจำกัดการเสริมจมูกแบบ Semi Open
- ไม่เหมาะกับการผ่าตัดจมูกที่ต้องปรับแต่งโครงสร้างอย่างมาก เช่น การขูดกระดูกหรือกระดูกอ่อน, ตัดซิลิโคนออก
- อาจไม่เหมาะกับจมูกที่มีฮัมพ์สูงมาก เพราะต้องใช้เทคนิค Open ในการตกแต่งให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ไม่สามารถขยายหรือแคบรูจมูกได้เหมือนการผ่าตัดแบบ Open
ขั้นตอนเสริมจมูกแบบ Semi Open
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
ก่อนผ่าตัดเสริมจมูกแบบ Semi Open ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการเตรียมตัว คือ
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วิตามินอี ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- หยุดทานอาหารและน้ำ 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อลดเชื้อแบคทีเรีย
- เตรียมผ้าขนหนูเย็น และหมอนรองคอไว้ใช้หลังผ่าตัด
กระบวนการผ่าตัด
วันผ่าตัดเสริมจมูกแบบ Semi Open จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเคส โดยทั่วไปจะดำเนินการดังนี้ค่ะ
- ให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณจมูก หรือให้ยาระงับความรู้สึกทั่วไปหากเป็นความต้องการของผู้ป่วย
- กรีดผ่าบริเวณด้านในรูจมูกทั้งสองข้าง
- เลาะเนื้อเยื่อบุผิวให้เห็นโครงสร้างกระดูกและกระดูกอ่อนภายใน
- ตกแต่งกระดูกหรือกระดูกอ่อนตามความต้องการ
- ใส่ซิลิโคนแท่งที่ทำมาสำหรับเคสนั้น ๆ ตามรูปทรงที่ต้องการ
- เย็บปิดแผลด้านในจมูก
การดูแลหลังผ่าตัด
หลังการผ่าตัดเสริมจมูกแบบ Semi Open ผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นที่คลินิก 2-3 ชั่วโมง ก่อนกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน หลังจากนั้นจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ประคบเย็นและพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก แคะจมูก หรือเช็ดจมูกแรง ๆ เพื่อป้องกันเลือดออก
- ทานยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง เพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการติดเชื้อ
- งดแต่งหน้าบริเวณจมูก อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
- ไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจดูแผลและประเมินผลการผ่าตัด
ทรงจมูกนิยม เสริมจมูกแบบ Semi Open
ทรงสโลปปลายพุ่ง
ทรงจมูกที่นิยมมากในหมู่สาวไทย ด้วยความที่มีลักษณะของสันจมูกโด่งสูงเรียวไปถึงปลายจมูกและดูพุ่งขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวแต่ยังดูธรรมชาติ การเสริมจมูกแบบ Semi Open จะช่วยให้ได้ทรงจมูกที่สวยชัดตามต้องการ เพราะสามารถเพิ่มความสูงของสันจมูกและความโด่งปลายจมูกได้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องซิลิโคนเสริมจมูกทะลุออกมาให้เห็น
ทรงปลายหยดน้ำ
ทรงจมูกสไตล์เกาหลีที่ลักษณะพิเศษคือส่วนปลายจมูกจะมีความกลมมน คล้ายหยดน้ำ ดูอ่อนหวานน่ารัก การเสริมจมูกแบบ Semi Open จะทำให้ได้ปลายจมูกที่เรียวกลมสวย เสริมให้ดวงหน้าดูสดใสขึ้น เหมาะสำหรับสาวหน้าเล็กที่อยากเพิ่มความน่ารักให้กับใบหน้า
ทรงบาร์บี้
ทรงจมูกที่ให้ลุคหวานละมุนเหมือนตุ๊กตา ปลายจมูกจะเรียวเล็กและเชิดขึ้นเล็กน้อย คล้ายจมูกตุ๊กตาบาร์บี้ การเสริมจมูกแบบ Semi Open เหมาะกับสาวที่มีหน้าไม่เล็กมาก แต่อยากได้ทรงจมูกที่ช่วยขับหน้าให้ดูหวานขึ้นโดยไม่ดูจมูกเล็กเกินไป
เทียบการเสริมจมูกแบบ Semi Open กับเทคนิคอื่น
Semi Open vs. Open Rhinoplasty
- การเสริมจมูกแบบ Open จะต้องกรีดผ่าด้านนอกที่ columella (เสาจมูก) โดยทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น แต่การผ่าเปิดจมูกทั้งหมดจะทำให้ศัลยแพทย์เข้าถึงโครงสร้างภายในได้ง่าย สามารถแก้ไขปัญหาจมูกได้ละเอียดและหลากหลายกว่าแบบ Semi Open
- การเสริมจมูกแบบ Semi Open จะซ่อนรอยแผลไว้ด้านในรูจมูก ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็น แต่เพราะการเปิดแผลทำได้จำกัดกว่า ไม่เหมาะกับเคสที่ต้องมีการแก้ไขโครงสร้างจมูกมาก
- ระยะเวลาในการผ่าตัดและการพักฟื้นของการเสริมจมูกแบบ Semi Open น้อยกว่าแบบ Open
Semi Open vs. Closed Rhinoplasty
- การเสริมจมูกแบบ Closed จะกรีดผ่าแผลที่ด้านในจมูกเพียงด้านเดียว มองไม่เห็นภายนอกเช่นกัน แต่การทำงานของศัลยแพทย์จะยากกว่า เพราะไม่สามารถมองภาพรวมของโครงสร้างจมูกขณะผ่าตัดได้ชัด
- การเสริมจมูกแบบ Semi Open ใช้การกรีดผ่าทั้งสองด้าน และใช้กล้องช่วยส่องภายในจมูก ทำให้ศัลยแพทย์สามารถเห็นโครงสร้างจมูกได้ดีกว่าแบบ Closed ลดโอกาสการเกิดความไม่สมดุลหรือผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามต้องการ
- ระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดของทั้งสองเทคนิคใกล้เคียงกัน
คำถามที่พบบ่อย เสริมจมูกแบบ Semi Open
การเสริมจมูกแบบ Semi Open ดีไหม?
การเสริมจมูกแบบ Semi Open เป็นทางเลือกที่ดีหากต้องการเสริมจมูกที่มีรูปทรงชัดเจน เพิ่มความโด่งให้ปลายจมูก แต่ไม่ต้องการมีรอยแผลเป็นภายนอก อีกทั้งระยะเวลาพักฟื้นสั้นกว่าแบบ Open โดยความเหมาะสมจะขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างจมูกของแต่ละบุคคล และความต้องการของแพทย์เป็นสำคัญค่ะ
ค่าใช้จ่ายการเสริมจมูกแบบ Semi Open
ค่าใช้จ่ายในการเสริมจมูกแบบ Semi Open จะต่างกันไปตามสถานพยาบาล ประสบการณ์ของแพทย์ผู้ผ่าตัด รวมถึงความซับซ้อนของเคส ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 45,000-100,000 บาท รวมค่าแพทย์ ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่ายา และค่าดูแลหลังผ่าตัดแล้ว แนะนำให้สอบถามแพทย์เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
ระยะเวลาในการฟื้นตัวหลังผ่าตัด
หลังเสริมจมูกแบบ Semi Open อาการบวมช้ำจะเริ่มลดน้อยลงใน 3-5 วัน แผลภายในจมูกเริ่มหายดีภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น 1 เดือนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เฉลี่ยแล้วจมูกจะเข้ารูปและเป็นธรรมชาติเต็มที่ภายใน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความหนาของเนื้อเยื่อ และการเย็บแผลของแพทย์ด้วย
สรุป
สรุปแล้วการ เสริมจมูกแบบ Semi Open เป็นการผ่าตัดจมูกเทคนิคหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขจมูกให้ได้รูปทรงสวยงามและเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็นภายนอก มีจุดเด่นในการเพิ่มมิติให้กับสันจมูกและปลายจมูกชัดเจน เหมาะกับคนเนื้อจมูกน้อยเพราะช่วยลดความเสี่ยงซิลิโคนทะลุได้ แต่มีข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างจมูกที่ซับซ้อน
แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินโครงสร้างจมูกของตัวเองก่อนตัดสินใจเลือกเทคนิคที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่สวยดูดี ปลอดภัย และพึงพอใจที่สุดค่ะ
การเสริมหน้าผากคือ ศัลยกรรมความงามที่ช่วยเสริมสร้างมิติบนใบหน้า ทำให้รูปทรงหน้าผากละมุนรับกับสันจมูกและโครงหน้า ทำได้หลายเทคนิค โดยศัลยแพทย์จะเลือกเทคนิคการเสริมหน้าผากที่เหมาะสมกับผู้รับบริการ สำหรับคนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีดูแลหลังเสริมหน้าผาก อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและสิ่งที่ห้ามทำ มีอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบมาให้ค่ะ
อาการหลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก เป็นอย่างไร กี่วันหาย
ศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ทำได้ 3 เทคนิควิธี ได้แก่ การฉีดสารเติมเต็ม การเติมเต็มหน้าผากด้วยไขมันตัวเองและการเสริมผากด้วยซิลิโคน ผลลัพธ์ที่ได้และอาการหลังศัลยกรรมอาจแตกต่างกันไป สำหรับการเสริมหน้าผากด้วยซิลิโคน เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยม ในการศัลยกรรมแพทย์จะทำการประเมินไซส์ซิลิโคน ระดับความโหนกนูนให้เหมาะแต่ละบุคคล ทั้งการใช้ซิลิโคนสำเร็จรูปหรือซิลิโคนเฉพาะบุคคล อาการหลังศัลยกรรม มีดังนี้
- ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก จะมีอาการบวมและฟกช้ำ ถือเป็นอาการปกติของการผ่าตัดที่สามารถเกิดขึ้นได้ และจะหายไปได้เองภายใน 3- 5 วัน
- อาจมีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า หลังจากเสริมหน้าผา เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ และจะค่อย ๆ หายไปได้เอง
- มีอาการบวมที่บริเวณแผลผ่าตัด หรือแผลผ่าตัดมีรอยเขียวช้ำอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ บรรเทาลงไปเอง เมื่อผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนหลังผ่าตัด
- หลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ประมาณ 3 เดือน ซิลิโคนที่เสริมหน้าผากก็จะเริ่มปรับเข้ารูปกับขนาดหน้าผากเดิมของผู้เข้ารับบริการ ส่งผลให้ใบหน้าดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ
- ศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ไม่ว่าจะวิธีฉีดฟิลเลอร์ การเติมเต็มหน้าผากด้วยไขมันตัวเอง หรือผ่าตัดเสริมซิลิโคน หากขาดการดูแลอย่างถูกวิธี หรือเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน โอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังการการศัลยกรรมเสริมหน้าผาก เกิดขึ้นได้ ดังนี้
- บริเวณหน้าผากมีรอยย่น เป็นคลื่น ผิวไม่เรียบ หรือเสียทรง เกิดได้จากการใช้สารฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการออกแบบซิลิโคนเสริมหน้าผากที่ไม่พอดี
- หน้าผากมีขอบระหว่างซิลิโคนกับเนื้อหน้าผากจริงที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ปัญหานี้เกิดจากการหล่อซิลิโคนที่ขนาดไม่พอดีกับขนาดหน้าผากของผู้เข้ารับบริการ
- เนื้อบริเวณหน้าผากมีลักษณะใส เกิดจากการหล่อซิลิโคนที่มีขนาดตึง หรือคับแน่นกับหน้าผากมากเกินไป
- หน้าผากมีรอยเหี่ยวย่นไม่ตึงกระชับ เกิดจากอายุผิวหนังที่มากขึ้นตามวัยจนเกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งการใช้วิธีเสริมหน้าผากเข้ามาแก้ปัญหานี้ ไม่สามารถแก้ได้ตรงจุด
วิธีดูแลหลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก
- ช่วง 1-2 สัปดาห์แรกควรนอนยกศีรษะให้สูง เพื่อลดอาการบวม
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดแผลใน 1-2 แรกหลังผ่าตัด หลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่น
- พันผ้าบริเวณศีรษะเป็นเวลา 7 วัน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
- งดการสัมผัส เกา แกะ หรือกดนวดใด ๆ บริเวณหน้าผาก
- รับประทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ หรือยาที่แพทย์จ่ายให้อย่างเคร่งครัด
- งดการสระผม ไม่ให้แผลโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหม
- งดกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับความร้อน เช่น การตากแดด ซาวน่า ทำสปา ออกกำลังกาย ในช่วง 7 วัน หลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก
- ช่วง 3 แรกหลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ให้ใส่สายรัดหน้าผากไว้ตลอดเวลา
- งดแต่งหน้าและทาครีมบำรุงบริเวณแผลจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
หลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ห้ามรับประทานอะไร
- ควรงดอาหารทะเล ในช่วง 7-14 วันแรก เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
- งดรับประทานอาหาร รสจัด เผ็ดจัด เช่น ส้มตำปูปลาร้า 3 – 4 สัปดาห์หลังศัลยกรรมหน้าผาก
- งดอาหารที่มีรสเค็มจัด อาจทำให้ บริเวณแผลบวมได้
- งดรับประทานของหมักดอง อย่างน้อย 1 เดือน
- อาหารไม่ผ่านการปรุงให้สุก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัด
หลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ห้ามทำ อะไร
- ห้ามแผลผ่าตัดโดนน้ำ 7 วันหรือครบกำหนดวันตัดไหม
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดสูบบุหรี่ 2 เดือน เนื่องจากบุหรี่ ทำให้แผลหายช้า
- ห้ามนอนคว่ำ นอนตะแคง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- งดออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหนัก ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
- ห้ามสระผม หรือโดนน้ำบริเวณแผลผ่าตัด ประมาณ 10-14 วัน
- ควรจะงดทำสีผมและการไดร์ผมด้วยลมร้อนในช่วง 6 สัปดาห์แรก เพราะอาจทำให้แผลผ่าตัดดึง ผิวหน้าหน้าโดนสารเคมี โดนความร้อน
- หลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก อย่างน้อย 30 วัน งดเลเซอร์ ทรีตเมนต์ นวดหน้า เพราะอาจกระทบกระเทือนต่อซิลิโคนที่เสริม หรือทำให้แผลอักเสบ ติดเชื้อได้
- ห้ามกด สัมผัส หรือขยี้บริเวณผ่าตัดและบริเวณหน้าผากบ่อย ๆ ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์แรกหลังศัลยกรรมเสริมหน้าผาก
สรุป
การศัลยกรรมเสริมหน้าผาก ทุกเทคนิควิธีไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ หรือผ่าตัดเสริมซิลิโคน หากรับบริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน ให้บริการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ โอกาสเกิดผลข้างเคียงก็จะมีน้อย รวมถึงการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด ผลลัพธ์ของการศัลยกรรมเสริมหน้า นอกจากปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนแล้ว ยังได้ทรงหน้าผากอย่างที่ต้องการอีกด้วย
การศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นการตกแต่งปลายจมูก หรือต่อปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อน ช่วยแก้ปัญหาจมูกที่ไม่ได้สัดส่วน ลดความกว้างของจมูก สร้างปลายจมูกให้สวยพุ่งอย่างเป็นธรรมชาติ และการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ยังเป็นเทคนิคที่ต้องใช้เวลาในการผ่าตัด การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกโอเพ่น จึงต้องเอาใจใส่และปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและสิ่งที่ไม่ควรทำ
วิธีดูแลหลังเสริมจมูกโอเพ่น อาการเป็นอย่างไร กี่วันหาย
การเสริมจมูกแบบเปิด หรือการผ่าตัดเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้เวลานาน และอาจรบกวนทางเดินเลือดดำ ทำให้พบภาวะจมูกบวม หรือแดง และใช้เวลาพักฟื้นนาน การดูแลหลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น จึงมีความสำคัญรวมทั้งมีข้อควรปฏิบัติที่ต้องให้ความสำคัญ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
วิธีดูแลหลังเสริมจมูกโอเพ่น
- 48 ชั่วโมงแรก หลังเสริมจมูกโอเพ่น ให้ประคบเย็นเพราะการประคบเย็นจะลดความเจ็บปวดและบรรเทาอาการบวมของแผล
- หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ เพราะอาจทำให้แผลอักเสบ หายยาก และแผลติดเชื้อได้
- หลังเสริมจมูกโอเพ่น ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรนอนหงาย และหนุนศีรษะให้สูง โดยนำหมอน 2 – 3 ใบ หนุนศีรษะให้สูง โดยเน้นให้ศีรษะสูงกว่าหัวใจ เพื่อป้องกันไม่ให้สารน้ำรั่วไหลออกจากเส้นเลือด อีกทั้งช่วยลดอาการบวมอีกด้วย
- ช่วง 7 วันหลังผ่าตัดเสริมจมูก ควรนอนหมอนสูง โดยให้ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว และห้ามนอนตะแคง เพื่อป้องกันอาการเลือดคั่งในจมูกและจมูกเสียทรง
- ในช่วง 3 – 4 วันแรกหลังเสริมจมูก แนะนำให้ทำความสะอาดใบหน้าด้วยกระดาษซับมันแทนการล้างหน้า
- กรณีมีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมออกมาบริเวณแผลผ่าตัด ให้ใช้คอตตอนบัดสะอาดซับเบา ๆ แล้วทำความสะอาดแผลทำความสะอาดบริเวณในรูจมูก โดยการชุบน้ำเกลือเช็ดคราบเลือด
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือที่ที่มีฝุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงเกิดน้ำมูกหรือไอจาม
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องก้มหรือยกของหนัก เพราะอาจทำให้กระทบกระเทือนแผลผ่าตัดได้
- งดแต่งหน้าหลังเสริมจมูก และสามารถแต่งได้ภายหลังจาก 1 สัปดาห์
- งดรับประทานวิตามินบำรุงและยาที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด 2 สัปดาห์
- ในกรณีที่ใส่เฝือกหลังการผ่าตัด จะต้องใส่เฝือกดามจมูกไว้ อย่างน้อย 7 วัน
- งดพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น งดการสัมผัสกับบริเวณแผล งดสูบบุหรี่ 2 – 4 สัปดาห์
- รับประทานยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบตามแพทย์สั่งจนกว่าจะครบกำหนด
- พบแพทย์เพื่อติดตามผลการผ่าตัดตามวัน/เวลาที่ นัดหมายอย่างเคร่งครัด
อาการและภาวะแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้
- มีเลือดออกที่บริเวณผ่าตัด การดูแลตนเองอย่างถูกต้องภาวะเลือดออกจะหายไปได้เอง
- แผลผ่าตัดติดเชื้อ อักเสบ อาการหรือภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นหากมีการกระทบกระแทกที่จมูก
- อาการ ปวดและบวมช้ำ แม้อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่หากผ่านไป 7-14 วันแล้วยังมีอาการบวมขึ้นเรื่อย ๆ ควรรีบพบแพทย์
- มีอาการคันแผลหลังทำจมูก ไม่ควรเกาหรือขยี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อ
- อาการจมูกอักเสบหลังเสริมจมูก เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหลังการเสริมจมูกในระยะแรก ๆ หรือหลังการเสริมจมูกเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการอักเสบและติดเชื้อ ดังนี้
- การรับประทานอาหารแสลง เช่น ของหมักดอง อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอร์
- การสัมผัส เช่น จับแผล เกา ลูบบริเวณแผลบ่อย จนทำให้เกิดอาการอักเสบ\
- การนวด การทำโยคะ หรือแม้กระทั่งการไอจามอย่างรุนแรง
หลังเสริมจมูกโอเพ่น ห้ามกินอะไร
- อาหารที่มีรสเค็มจัด มักทำให้เกิดอาการบวมน้ำ และ อาจส่งผลให้ บริเวณแผลบวมได้
- งดรับประทานอาหาร รสจัด เผ็ดจัด เช่น ส้มตำปูปลาร้า ประมาณ 1 เดือน
- งดรับประทานของหมักดอง อย่างน้อย 1 เดือน เพราะเป็นอาหารที่อาจมีสารปนเปื้อนต่าง ๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
- งดรับประทานอาหารทะเล อย่างน้อย 1 เดือน เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
- อาหารไม่ผ่านการปรุงให้สุก เพราะอาจจะมีเชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้แผลหายช้าได้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัด
หลังเสริมจมูกโอเพ่น ห้ามทำอะไร
- ห้ามแผลโดนน้ำ จนกว่าจะถึงวันนัดตัดไหม
- งดออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหรือกำลังมาก ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
- ห้ามสระผมหรือโดนน้ำบริเวณแผลผ่าตัด ประมาณ 10-14 วัน
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดการแต่งหน้า และเสริมความงามบนใบหน้า เพราะจะทำให้แผลหายช้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณจมูก เช่น การดึง การคลึงหรือโยกบริเวณปลายจมูก
สรุป
ศัลยกรรมเสริมจมูก มีหลายเทคนิคที่ช่วยแก้ไขและปรับโครงหน้าให้สวยโดดเด่น การเสริมจมูกโอเพ่น เป็นการตกแต่งปลายจมูก หรือต่อปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อน ขั้นตอนการทำมีความละเอียดอ่อนและใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่าเทคนิควิธีอื่น ๆ ดังนั้นการดูแลตนเองหลังเสริมจมูกจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลีกเลี่ยงอาหารแสลงและปฏิบัติตามข้อห้ามต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด
ศัลยกรรมปาก เป็นการผ่าตัดแก้ไขริมฝีปากที่มีปัญหา หรือตกแต่งริมฝีปากให้สวยได้รูปตามแบบที่ต้องการ สามารถทำได้หลายรูปแบบและหลายเทคนิควิธี สำหรับคนที่สนใจศัลยกรรมปากแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังศัลยกรรม บทความนี้ มีวิธีดูแลหลังศัลยกรรมปาก อาการหลังศัลยกรรม และข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารแสลง รวมทั้งสิ่งที่ห้ามทำ มาแนะนำค่ะ
วิธีดูแลหลังศัลยกรรมปาก
- หลังศัลยกรรมปาก ควรประคบเย็นบ่อย ๆ ในช่วง 3-4 วันแรก เพื่อลดอาการบวม
- ในช่วง 1-3 วันแรก หลังศัลยกรรมปาก ยังมีอาการบวม ตึง ชา เล็กน้อย หลังจากนั้นอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงและหายเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูแผลผ่าตัดจนกว่าจะหายสนิท
- ทำความสะอาดริมฝีปากและช่องปากอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำของศัลยแพทย์หรือเจ้าหน้าที่
- หลังทำความสะอาดแผลแล้ว ให้ทาขี้ผึ้งทาเช้า – เย็น
- งดแปรงฟัน 3 วันแรกหลังการผ่าตัด
- วันที่ 4 หลังศัลยกรรมปาก แปรงฟันด้วยยาสีฟันเด็ก และเลือกขนแปรงที่นุ่ม เพื่อลดการกระแทก
- บ้วนปากบ่อย ๆ ด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย
- ควรรับประทานอาหารอ่อน อาหารทานง่าย
- งดการเคี้ยวอาหารและอ้าปากกว้าง
- การดื่มน้ำ ควรใช้หลอดดูด
- ควรนวดปาก หลังจากผ่าตัดริมฝีปากไปแล้ว 14 วัน
- พบแพทย์ตามนัด
ผลข้างเคียงหลังศัลยกรรมปาก
- ในช่วงสัปดาห์แรกหลังศัลยกรรมปาก จะมีการบวมและตึงมาก โดยบวมมากที่สุดในวันที่ 3 หลังผ่าตัด จากนั้นจะค่อยๆ ลดบวมลงไป จนกว่าจะถึงเดือนที่ 3
- การรับรู้และความรู้สึกที่ปากขาดหายไปบางส่วน รวมทั้งอาจมีอาการชาที่ปาก อาการเหล่านี้อาจใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี จะเริ่มหายเป็นปกติ
- ริมฝีปากมีไตเนื้อแข็งๆ เกิดขึ้น กรณีนี้ถือเป็นเรื่องปกติซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นทุกคน มักเกิดขึ้นหลังการตัดไหม ใช้เวลา 3 ถึง 6 เดือนในการกลับมาเป็นปกติ
- อาการบังคับริมฝีปากลำบาก ประกบปากไม่สนิท แต่จะเป็นในช่วงแรกและหายได้เอง
- เกิดแผลเป็นคีลอยด์ กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะบุคคล หรือขึ้นอยู่ที่ความชำนาญในการเย็บแผลของแพทย์
หลังศัลยกรรมปาก ห้ามรับประทานอะไร
- อาหารประเภทไข่ไก่ เนื้อไก่
- อาหารรสจัด เช่น แกงเผ็ด หรืออาหารรสจัดต่าง ๆ
- อาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีส่วนผสมด้วยของหมักดองเช่น ส้มตำ กะปิ น้ำพริก มะม่วงดอง
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์
- อาหารประเภทอาหารกึ่งสำเร็จรูปเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กคัพ
หลังศัลยกรรมปาก ห้ามทำอะไร
- งดการทาลิปสติกสี ประมาณ 1 เดือน เพื่อป้องกันการระคายเคืองจากสารเคมี
- ห้ามใช้ลิ้นดุนแผลผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณแผล หรือสัมผัสบริเวณริมฝีปากในช่วงหลังทำใหม่ ๆ
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ ที่อาจกระเทือนต่อริมฝีปาก อย่างน้อย 1 เดือน
- ห้ามนอนคว่ำ นอนตะแคง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
สรุป
ศัลยกรรมปาก เป็นการผ่าตัดเล็กที่หลังจากการทำศัลยกรรมเสร็จแล้ว สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที แต่สิ่งที่ต้องระวังและให้ความสำคัญ ก็คือการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ วิธีดูแลหลังศัลยกรรมปากในบทความนี้ เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้ที่กังวลใจ สามารถนำไปดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง ค่ะ
เสริมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกรวมถึงเทคนิควิธีมีให้เลือกหลายรูปแบบ การเลือกขึ้นอยู่กับความจำเป็น หรือความต้องการของคนไข้ เพราะนอกจากการเสริมจมูกจะเป็นการผ่าตัดเพื่อความสวยงามแล้ว ยังทำเพื่อแก้ไขปัญหาจมูกผิดรูปหรือจมูกไม่สวยสมส่วน ส่วนวิธีดูแลหลังเสริมจมูก อาการเป็นอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ ค่ะ
วิธีดูแลหลังเสริมจมูก
การดูแลหลังเสริมจมูกอย่างถูกวิธี มีความสำคัญและจำเป็นต่อผลลัพธ์ที่ได้ เพราะหากดูแลผิดวิธีไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือทำให้รูปทรงจมูกเสียหายได้ การดูแลหลังเสริมจมูก ทำได้ ดังนี้
- หลังผ่าตัดเสริมจมูก ให้ประคบเย็นในช่วง 3 วันแรก เพื่อลดอาการบวม และเพื่อให้เลือดหยุดไหล หลังจากนั้นจึงประคบอุ่นต่ออย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
- หลังผ่าตัดเสริมจมูก งดล้างหน้าเพื่อป้องกันแผลโดนน้ำ และแนะนำให้ใช้กระดาษซับมันแทนหรือทิชชู่เปียกเช็ดหน้า เช้า-เย็น หลังอาบน้ำ
- ควรหนุนศีรษะด้วยหมอนสูง 3 วัน เพื่อลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือเล่นกีฬา เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์
- กินยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์สั่งจ่ายอย่างต่อเนื่องให้ครบตามที่ระบุ
- พบแพทย์ตามนัด
หลังเสริมจมูก มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
การผ่าตัดเสริมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมจะต้องมีอาการเจ็บหรืออาการบวมช้ำตามมา เพราะเป็นการผ่าตัดที่ทำให้เกิดรอยแผล โดยสามารถสังเกตอาการ หรือผลข้างเคียงจากการเสริมจมูก แบ่งเป็นแต่ละช่วงเวลาได้ ดังนี้
อาการหลังเสริมจมูกใน 24 ชั่วโมงแรก
หลังผ่าตัดเสริมจมูก อาการบวมช้ำจะเริ่มเกิดขึ้นทันที ถือเป็นเรื่องปกติของการศัลยกรรม นอกจากนั้นผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก และบวมบริเวณใบหน้าร่วมด้วย โดยจะบวมมากที่สุดใน 2-3 วันแรก ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่แพทย์จะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบมาให้รับประทาน อาการปวดบวม จะค่อย ๆ ยุบและหายไปภายใน 5 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
อาการหลังเสริมจมูก 7 วัน
ในช่วง 7 วันแรก หลังผ่าตัดเสริมจมูก ผู้รับบริการบางคนอาจพบว่ามีเลือดซึมออกจมูก หรือน้ำมูกไหลตลอด 7 วันที่ผ่านมา เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ และอาจรู้สึกตึงบริเวณแผลผ่าตัด เนื่องจากเนื้อเยื่อในโพรงจมูกยังบวมอยู่ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะจะอาการเหล่านี้ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
อาการหลังเสริมจมูกช่วง 14 วัน
หลังจากเสริมจมูกช่วง 7 – 14 วัน เป็นระยะที่แพทย์จะนัดตัดไหม และตรวจดูอาการหลังเสริมจมูก ในช่วงนี้อาการบวมช้ำจะเริ่มยุบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างแต่โดยรวมแผลจะเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
อาการหลังเสริมจมูกช่วง 1 เดือน
อาการหลังเสริมจมูกช่วง 1 เดือน แม้อาการบวมยังอาจหลงเหลืออยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ สามารถเห็นทรงจมูกได้ชัดเจนขึ้น มองเห็นรูปทรงของจมูกที่เสริมว่าเป็นอย่างไร และเข้ากับหน้ามากน้อยแค่ไหน แผลจะเข้าที่ประมาณ 70 %
อาการหลังเสริมจมูกช่วง 3 เดือน
ช่วง 3 เดือนหลังเสริมจมูก จะไม่มีอาการบวมให้เห็นแล้ว จมูกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพราะจมูกเริ่มเข้าที่ส่งผลให้รูปทรงจมูกค่อยๆ เรียวขึ้น ช่วงนี้แผลจะเข้าที่ประมาณ 90 %
อาการหลังเสริมจมูกช่วง 6 เดือน – 1 ปี
ในช่วง 6 เดือน – 1 ปี อาการหลังเสริมจมูกจะเข้าที่ 90 -100 % ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคนไข้แต่ละคน
หลังเสริมจมูก ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
- งดอาหารรสจัด เนื่องจากอาหารรสจัดทุกประเภท มีโซเดียมปริมาณสูง ซึ่งโซเดียมจะดูดน้ำเข้าไปเก็บไว้ใต้ผิวหนัง ทำให้แผลบวม
- งดรับประทานอาหารทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู กุ้ง หอย ปู เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนหลังเสริมจมูก เพื่อป้องกันการแพ้อาหาร สำหรับบางคนที่ไม่รู้ตัวว่าแพ้อาหารทะเล
- อาหารหมักดองทุกชนิด เช่น ผลไม้ดอง อาหารทะเลดอง พืชผักดอง เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีปนเปื้อนอยู่ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา ที่ส่งผลให้แผลอักเสบและติดเชื้อได้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด และกระตุ้นการสูบฉีดของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้แผลเลือดออกง่ายและหายช้า
- วิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา ใบแปะก๊วย เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด รวมทั้งเพิ่มความบวมช้ำของแผล
- ห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำ เพราะอาจทำให้แผลหายช้า และเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย
- งดออกกำลังกายและทำกิจกรรม เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หลังเสริมจมูก
- ห้ามบีบจมูก บิด แคะ แกะ เกาจมูก เพราะอาจทำให้แผลติดเชื้อ จมูกเบี้ยวและเอียง
- ห้ามเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือนวดหน้า อย่างน้อย 1 เดือน เพราะอาจเกิดความกระทบกระเทือนกับจมูก แผลอักเสบ ติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการทำให้เกิดน้ำมูกไหล หรือหากเป็นหวัด ต้องรับประทานยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูกทันที
การผ่าตัดเสริมจมูก แม้จะเป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยม มีความปลอดภัยสูง แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและมีศัลยแพทย์วิชาชีพเป็นผู้ให้บริการ รวมทั้งการดูแลตนเองหลังเสริมจมูกอย่างถูกต้องถูกวิธีตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะนอกจากลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังเสริมจมูกแล้ว ยังทำให้ได้รูปทรงจมูกที่สวยตอบโจทย์ ปลอดภัย และแผลหายเร็วอีกด้วย
Gentle Yag คือ เครื่องกำจัดขนด้วยพลังงานเลเซอร์ ที่มีคุณสมบัติสามารถกำจัดขนได้ลงลึกถึงรากขนใต้ผิวหนัง และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามนำมาให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน การเลเซอร์กำจัดขน มีวิธีดูแลและอาการหลังเลเซอร์ Gentle Yag เป็นอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและทำอะไรบ้าง สำหรับข้อสงสัย บทความนี้มีคำตอบ ค่ะ
วิธีดูแลหลังเลเซอร์ Gentle Yag
การกำจัดขนด้วย Gentle YAG เป็นนวัตกรรมการกำจัดขนที่ดีสุด นอกจากเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ยังสามารถกำจัดได้ลึกถึงรากขนซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดขนคุดให้หายได้อย่างถาวร และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด มีวิธีดูแลหลังเลเซอร์ Gentle Yag ดังนี้
- หลังทำเลเซอร์ขน สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการแสบร้อน ระคายเคืองได้ทันที
- เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว ช่วง 24 ชั่วโมง หลังทำควรงดใช้โรลออนหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรักแร้
- บำรุงผิวด้วยการทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยผลัดเซลล์ผิวระยะ 1 สัปดาห์หลังทำ
- งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก ระยะ 1 -2 สัปดาห์ หลังทำ
- ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้ความอ่อนโยนต่อผิว
- เมื่อต้องออกไปเผชิญแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อการปกป้องผิวจากรอยหมองคล้ำ
- หลังเลเซอร์ระยะ 3 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ เพราะเป็นช่วงที่ผิวบาง
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป ก่อให้เกิดการเสียดสี อาจทำให้ผิวอักเสบได้
- หากมีขนรักแร้ยาวขึ้น งดการถอนขน โกน และแว็กซ์ขนหลังทำ ควรใช้กรรไกรตัดเล็มแทน
หลังเลเซอร์ Gentle Yag มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
เลเซอร์ Gentle Yag เป็นการกำจัดขนที่มีความยาวคลื่นแสงสูง ทำให้แสงสามารถผ่านลงไปในชั้นผิวได้ลึกถึงแหล่งกำเนิดเส้นขน และในระหว่างทำเลเซอร์ผู้รับบริการอาจมีความรู้สึกเหมือนเข็มเล่มเล็ก ๆถูกปักลงบนผิวหนัง แม้จะมีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายใด ๆ แต่การกำจัดขนแบบ Gentle Yag มีอาการและผลข้างเคียงที่ควรทราบ ดังนี้
- ช่วงแรกหลังการทำเลเซอร์กำจัดขน ผิวหนังบริเวณที่ได้รับเลเซอร์อาจระคายเคือง บวม และเกิดเป็นรอยแดงขึ้นมา แต่อาการจะหายได้เองภายใน 1 – 2 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
- ในบางคน อาจมีอาการปวด แสบผิว แต่อาการจะหายได้เอง ภายใน 2-3 ชั่วโมง
- การกำจัดขนด้วย Gentle YAG อาจมีความเจ็บที่มากกว่าการทำเลเซอร์ชนิดอื่น แต่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่สามารถทนได้
หลังเลเซอร์ Gentle Yag ห้ามกินและทำอะไรบ้าง
หลังการทำเลเซอร์ กำจัดขน มีวิธีดูแลตัวเองและมีข้อห้ามที่ไม่ยุ่งยากมากนัก เป็นเพียงคำแนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและช่วยลดความเสี่ยงของการระคายเคืองผิวหลังการทำเลเซอร์ เช่น
- หลังเลเซอร์ Gentle Yag สามารถใช้ชีวิตประจำวันและรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือการอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารประเภทหมักดอง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 – 2 สัปดาห์
- งดการถอน โกน หรือแว็กซ์ขนที่ขึ้นมาหลังทำเลเซอร์ขน
- หลีกเลี่ยงการเกาหรือขยี้บริเวณที่ทำเลเซอร์ เพราะผิวบริเวณใบหน้ามีความบอบบางมาก
- ช่วง 3 – 5 วันหลังเลเซอร์ ห้ามอาบน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น เนื่องจากความร้อนในน้ำอุ่นอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้
การทำ Gentle YAG เป็นการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ที่มีความปลอดภัย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA หรือองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่การเลเซอร์ขนมักไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง เพียงให้ความสำคัญและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำการยิงเลเซอร์ให้ และใช้เครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้เท่านั้น
การทำ Ulthera เป็นการรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อย รวมทั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ด้วยคลื่นพลังงานอัลตราซาวด์จาก Ulthera มีหลักการทำงานโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง และมีความเฉพาะเจาะจง ลงได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับ บทความนี้มีวิธีดูแลหลังทำ Ulthera อาการหลังทำเป็นอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง มาแนะนำ ค่ะ
วิธีดูแลหลังทำ Ulthera
หลังทำ Ulthera อาจมีอาการข้างเคียงที่เกิดได้เป็นปกติ เพื่อลดผลข้างเคียง และให้ผลลัพธ์อยู่ได้อย่างยาวนาน วิธีดูแลหลังทำ ดังนี้
- หลังทำ Ulthera ควรประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
- งดหัตถการประเภทเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนใต้ผิว เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงการนวด กด ใบหน้าแรง ๆ เพื่อลดการระบมและการบวมหลังทำ
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง
- เพื่อป้องกันแสงแดด และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน ควรทาครีมกันแดดและบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือทำอะไรบริเวณใบหน้าด้วยความรุนแรงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากผิวบริเวณนั้นต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลังทำ Ulthera มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
หลังทำ Ulthera อาจมีอาการหรือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเป็นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและการดูแลหลังทำ Ulthera เช่น
- อาการบวม บริเวณใบหน้า ถือเป็นปกติครับ โดยอาการบวมจะหายภายใน 2-3 วัน
- อาจมีอาการบวมใต้ผิว เมื่อลองกดบริเวณที่ทำ Ulthera จะรู้สึกเจ็บเล็ก ๆ แต่อาการเหล่านี้สามารถหายได้เองประมาณ 2 สัปดาห์
หลังทำ Ulthera ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
- หลังทำ Ulthera ห้ามกินอาหารประเภทหมักดอง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 – 2 สัปดาห์
- งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด 1 – วันหลังทำ เพื่อช่วยลดอาการระบมของผิว โดยเฉพาะคนที่ผิวแพ้ง่าย
- งดทำหัตถการที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมใต้ผิว เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากความร้อนสะสมมากเกินไป
การทำ Ulthera เป็นการยกกระชับ ลงลึกระดับชั้น Smas และช่วยรักษาริ้วรอยความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นพลังงานอัลตราซาวด์ หลังทำไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น อีกทั้งไม่ได้มีข้อห้ามพิเศษอะไร เพียงดูแลตนเองหลังทำอย่างถูกวิธี ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถแต่งหน้า ทาครีม และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
Hifu คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว ด้วยการยิงคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงเข้าไปเนื้อเยื่อในชั้นผิว เพื่อแก้ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย หรือยกแนวคิ้วขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นแต่ที่เห็นผลอย่างชัดเจน สำหรับการทำ Hifu หลังทำมีอาการและวิธีดูแลอย่างไร บทความนี้มีความรู้มาแนะนำ ค่ะ
วิธีดูแลหลังทำ Hifu
การทำ Hifu จะช่วยให้ผิวตึงกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ริ้วรอยลดน้อยลง แต่การทำ Hifu ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี อยู่ได้นานและมีผลข้างเคียงน้อย ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำอย่างถูกวิธี ดังนี้
- หลังทำ Hifu ให้ได้ผลดี ควรดูแลตัวเองด้วยการนอนหลับพักผ่อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- ปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ หรือเหมาะสมกับสภาพแสงแดด
- สามารถทาครีมบำรุงผิวตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล ได้ตามปกติ
- หลังทำ Hifu หากมีอาการปวดหรือเมื่อยตึงที่บริเวณผิวชั้นใน สามารถทานยาแก้ปวดได้
หลังทำ Hifu มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
หลังทำ Hifu อาจมีอาการบวมเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ส่วนจะบวมมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคน โดยทั่วไปจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบหลังจากทำ Hifu เช่น
1. รอยฟกช้ำ บริเวณที่ทำ
ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่พบได้ไม่บ่อย อาการฟกช้ำเป็นผลจากการใช้พลังงานสูง ทำให้มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อมาก ๆ แต่จะค่อย ๆ หายไปเอง
2. อาการบวมและแดง
อาการบวมและแดงบริเวณผิวหนัง เกิดจากการกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังด้วยคลื่นเสียง ส่งผลให้ผิวหนังบวมและแดงได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ขณะทำ หรือหลังทำ Hifu แต่จะค่อย ๆ หายไปเอง
3. เกิดผื่นแพ้
ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารเคมีหรือสารอื่น ๆ การทำ Hifu อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในผิวหนังและทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ได้ ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารต่าง ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ Hifu
4. รู้สึกตึงที่หน้า
อาการตึงบริเวณหน้า เป็นผลมาจากการยิงพลังงานหรือคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อในชั้นผิว อารตึงหรือรู้สึกตึงบริเวณหน้าจึงเกิดขึ้นได้ ถือเป็นเป็นปกติ ภายใน 1-2 วัน ก็จะกลับมาเป็นปกติ
5. อาการเสียวฟัน
อาการเสียวฟัน โดยเฉพาะคนไข้ที่อุดฟันขณะทำ Hifu อาจมีอาการเสียวฟันได้ เนื่องจากคลื่นพลังงานลงลึกไปถึงรากฟัน
สำหรับผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย อาจเกิดขึ้นได้หากใช้เครื่องที่ไม่มีประสิทธิภาพจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน คลินิกที่ไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย อาจส่งผลทำให้ผิวหน้าไหม้ หรือรูปหน้าไม่เท่ากัน
หลังทำ Hifu ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
การทำ Hifu เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย หลังทำจึงไม่ได้มีข้อห้าม แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดี มีเพียงคำแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงช่วงแรกหลังทำ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการกดหรือถูหน้าแรง ๆ\
- หลีกเลี่ยงการออกแดดกลางแจ้งประมาณ 1-2 สัปดาห์
- เลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องออกแดดจัด หากเลี่ยงไม่ได้ควรทาครีมกันแดด SPF สูง ๆ
- งดสูบบุหรี่ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
การทำ Hifu เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ผิวหน้าตึงกระชับ กระตุ้นคอลลาเจนฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี การดูแลตัวเองหลังทำ คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน
ปัจจุบัน ความหย่อนคล้อย ผิวไม่ยกกระชับ ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามวัย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป เพราะมี Thermage เทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างเห็นผลลัพธ์ มีความปลอดภัย เพียงดูแลตนเองอย่างถูกวิธี เท่านั้น
วิธีดูแลหลังทำ Thermage
Thermage เป็นเทคโนโลยียกกระชับ ปรับหน้าเรียวที่มีประสิทธิภาพ หลักการทำงานเป็นการยกกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูง ที่สามารถยิงพลังงานลงชั้นผิวหนังได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ช่วยยกกระชับผิวหน้า และลดริ้วรอยอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการดูแลหลังทำ Thermage เพื่อผลลัพธ์ที่ดี มีวิธีดูแล ดังนี้
- หลังทำ Thermage สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
- สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ และควรบำรุงผิวให้ชุ่มช่ำ ด้วยการทาครีมบำรุง
- สามารถออกกำลังกาย และใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลังทำ
- ช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำ Thermage งดการทำทรีทเมนท์ ขัดผิว หรือทำเลเซอร์อื่น ๆ
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด ที่เป็นปัจจัยทำให้ผิวกลับมาหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย ประมาณ 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
- หากต้องเผชิญแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
- ดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลังทำ Thermage มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
การทำ Thermage หลังทำอาจเกิดผลข้างเคียงเกิดขึ้นทันทีในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรก เช่น ผิวแดง หรือมีสีชมพูระเรื่อ รวมทั้งมีอาการหน้าบวม แต่จะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ เนื่องจาก เป็นอาการปกติจากความร้อน เกิดขึ้นได้ชั่วคราวหลังการรักษา และหลังจากนั้นจะค่อย ๆจางหายไปเอง สำหรับอาการ และระยะเวลาที่สามารถหายได้เอง มีดังนี้
- อาการบวมแดง ผิวมีสีชมพูระเรื่อ เกิดจากความร้อน และกลไกการทำงานของเครื่อง พบได้ปกติ ไม่เป็นอันตราย สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 24 ชั่วโมง
- อาการระบมใต้ผิว อาการเหล่านี้เกิดขึ้นหลังทำ โดยผู้รับบริการจะรู้สึกเสียว ๆ ใต้ผิว เป็นอาการปกติทั่วไป และสามารถหายได้เองภายใน 3-10 วัน
หลังทำ Thermage ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
การดูแลผิวพรรณ ด้วย การทำ Thermage นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย จึงเป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีความปลอดภัย หลังทำไม่มีข้อกห้ามใด ๆ เพียงหลีกเลี่ยงปัจจัยต่อไปนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี เท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นทำให้คอลลาเจนผิวเสื่อมตัวเร็วกว่าเดิม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งมีสาร นิโคติน ที่เป็นตัวทำลายสุขภาพ และยังเป็นปัจจัยที่มีผลทำให้หน้าตาดูแก่ก่อนวัย
- ห้ามทำทรีทเมนท์ ขัดผิว การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือทำเลเซอร์อื่น ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์
การทำ thermage เป็นหัตถการที่ช่วยกระชับผิวที่มีความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำ เห็นผลทันที 20 % เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2-6 เดือน สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน เพียงเลือกรับบริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง และมีศัลยแพทย์วิชาชีพเป็นผู้ให้บริการเท่านั้น
สำหรับคนที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด คางไม่ได้รูป ต้องการศัลยกรรมเสริมคางให้รูปหน้ายาวขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคนได้ โดยแพทย์จะวัดสัดส่วนของคางเดิม แล้วทำการเหลาตกแต่งซิลิโคนให้เข้ารูปพอดีกับฐานคางเดิม ช่วยให้ได้รูปทรงคางที่สวยตามความต้องการ ส่วนการดูแล อาการหลังเสริมคางกี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง บทความนี้มีคำแนะนำ ค่ะ
วิธีดูแลหลังเสริมคาง
การผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคน เป็นการทำศัลยกรรมเพื่อปรับรูปทรงคางให้ดูสวยงามและเข้ากับรูปหน้า ทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น ส่วนผลลัพธ์หลังเสริมคางขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเทคนิค และความเชี่ยวชาญของแพทย์ รวมถึงการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีหลังเสริมคาง ที่สามารถทำได้ ดังนี้
- หลังผ่าตัดเสริมคาง เมื่อยาชาเริ่มหมดฤทธิ์อาจมีอาการปวด บวม ให้ประคบเย็นในช่วง 3 วันแรก เพื่อลดอาการบวม
- ควรนอนหงายศีรษะสูง อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- งดเว้นการพูดคุยบ่อย ๆ หรือเคี้ยวอาหารแข็ง ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์
- ควรรับประทานอาหารอ่อนและนิ่ม เพื่อลดการกระทบกระเทือนของบาดแผล
- ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำเกลือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
- งดออกกำลังกายที่ใช้แรงมาก ๆ อย่างน้อย 1 เดือน สามารถล้างหน้า และแต่งหน้าได้ตามปกติ ในกรณีที่หมอทำคางแผลใน
- ช่วง 7-14 วันแรกหลังผ่าตัดเสริมคาง ให้ใช้แปรงสีฟันของเด็กอันเล็ก ๆ แปรงฟันเบา ๆ ไปก่อน
- รับประทานยาฆ่าเชื้อที่แพทย์สั่งจนหมด
- พบแพทย์ตามนัด
หลังเสริมคาง มีอาการอย่างไร
หลังเสริมคาง ปัญหาที่พบจากการเสริมคางด้วยซิลิโคน เกิดขึ้นได้รูปแบบ เช่น คางเบี้ยว คางเป็นก้อน คางยื่นออกมามีลักษณะเป็นก้อน สังเกตเห็นรอยต่อของซิลิโคน และซิลิโคนเสริมคางใกล้ทะลุ โดยแต่ละปัญหาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการดูแลตัวเองหลังจากผ่าตัดเสริมคางอย่างไม่เหมาะสม หรือเกิดการกดทับ หรือแพทย์ขาดทักษะหรือเทคนิคการเสริมคางที่ดี
หลังเสริมคาง กี่วันหาย
การผ่าตัดเสริมคาง เป็นศัลยกรรมความงามที่ทำให้เกิดรอยแผล แม้จะเป็นการผ่าตัดเล็กแต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังเสริมคางอย่างน้อย 3 วัน แต่มีข้อดีคือระหว่างพักฟื้นสามารถไปไหนมาไหนได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่กระทบกิจวัตรประจำวัน ส่วนทรงคางจะเข้าที่ใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ระยะเวลาอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
หลังเสริมคาง ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
การผ่าตัดเสริมคาง รวมถึงศัลยกรรมอื่น ๆ มักมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับอาหารที่ควรรับประทาน และ อาหารที่ห้ามรับประทาน รวมไปถึงข้อห้ามต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องหลังเสริมคาง มีสิ่งที่ห้ามกินและห้ามทำ ดังนี้
อาหารที่ห้ามกิน
- อาหารที่ปรุงไม่สุก หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปลาดิบ ลาบ ก้อย เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจไม่สะอาดและนำเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล ทำให้แผลหายช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
- อาหารรสชาติจัด เนื่องจากรสชาติความเผ็ด ร้อน ของอาหารจะไปกระตุ้นอาการอักเสบของแผล ส่งผลให้แผลไม่แห้ง และยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อของแผลอีกด้วย
- อาหารหมักดอง เพราะมีสารปนเปื้อนที่อาจนำเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล นอกจากนั้น อาหารหมักดองจะมีรสชาติเค็ม อาจทำให้เกิดอาการบวมของแผลได้เช่นกัน
- อาหารทะเลบางชนิด เพราะบางคนอาจมีอาการแพ้อาหารทะเลโดยไม่รู้ตัว และอาการแพ้อาจก่อให้เกิดการคัน บวม อักเสบ ได้
- วิตามิน และอาหารเสริม เนื่องจากอาหารเสริม หรือ วิตามินบางชนิดมีส่วนประกอบของวิตามินอี น้ำมันปลา ยาแอสไพริน ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆที่อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด ทำให้เลือดแข็งตัว รนวมทั้งเพิ่มความบวมช้ำของแผล
- แอลกอฮอล์ ทุกชนิด เนื่องจากแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้แผลหายช้า และ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
หลังเสริมคาง ห้ามทำอะไร
- ห้าม ใช้น้ำยาบ้วนปากทำความสะอาดโดยเฉพาะชนิดที่ผสมแอลกอฮอล์
- ห้ามนอนตะแคงในช่วงสัปดาห์แรกอาจจะเผลอนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ มีโอกาสเสี่ยงต่อคางเบี้ยว หรือเอียงไปตามองศาของการนอนได้
- งดเท้าคาง และหลีกเลี่ยงการกดแรง ๆ บริเวณคาง เป็นเวลา 3 เดือน
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
- ว่ายน้ำหรือดำน้ำอย่างน้อย 3 เดือน
ศัลยกรรมเสริมคางด้วยซิลิโคน เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับรูปทรงคางให้ดูสวยงาม เข้ากับรูปหน้า ปัจจุบันสามารถทำได้หลายเทคนิควิธี ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีคางสั้นเล็ก ตาตัด คางป้าน หรือคางที่ไม่ได้สัดส่วน ส่วนผลลัพธ์หลังทำ จะได้รูปทรงคางที่มีความยืดหยุ่น ผิวสัมผัสดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับคางจริง ๆ ควรเลือกคลินิก และซิลิโคนเสริมคางที่ได้มาตรฐาน ศัลยแพทย์ที่ให้บริการมีความชำนาญ รวมทั้งการดูแลตนเองหลังเสริมคาง อย่างถูกวิธี และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เท่านั้น