ศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการผ่าตัดแก้ไขปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า ให้กลับมาเรียบตึงด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ที่มีหลายวิธีโดยศัลยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของคนไข้หรือผู้รับบริการแต่ละบุคคล ส่วนผลลัพธ์ที่ดีนอกจากขึ้นอยู่กับเทคนิคและความเชี่ยวชาญของแพทย์แล้ว การดูแลตนเองหลังศัลยกรรมดึงหน้า ยังช่วยให้ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย
อาการหลังศัลยกรรมดึงหน้า เป็นอย่างไร กี่วันหาย
- อาการหลังผ่าตัดดึงหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรก จะมีอาการบวมและฟกช้ำ แต่ไม่มีอาการปวด เนื่องจากการทำศัลยกรรมดึงหน้าสามารถทำได้ทั้งวางยาสลบหรือฉีดยาชาเฉพาะที่
- ห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ในช่วง 1-3 วันแรก หลังศัลยกรรมดึงหน้า ยังมีอาการบวม ตึง ชา และอาจมีอาการปวดเล็กน้อยหลังจากนั้นอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงและหายเป็นปกติ
- สำหรับอาการบวมช้ำ จะค่อยๆ ลดลงและหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์
- แผลผ่าตัดมักจะแดงและนูนเล็กน้อยในช่วง 1-3 เดือนแรก และจางลงในเวลา 6-12 เดือน
- ความรู้สึกของผิวหนังบริเวณใบหน้าอาจลดลง เช่น มีอาการชาบนใบหน้า แต่จะลดน้อยลงหลังจากผ่าตัดภายใน 2-3 เดือน และอาการต่าง ๆ จะหายสนิทภายใน 6 เดือน
- ผลลัพธ์การผ่าตัดดึงหน้าเห็นผลชัดเจนเต็มที่ประมาณ 1 ปี ซึ่งผลลัพธ์หลังจากศัลยกรรม จะคงอยู่ได้ยาวนาน 5-10 ปี
วิธีดูแลหลังศัลยกรรมดึงหน้า
- หลังศัลยกรรมดึงหน้า ช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นโดยใช้น้ำแข็ง หรือ cold pack ประคบบริเวณรอบ ๆ แผล เพื่อช่วยลดบวม
- หลังจากประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกแล้ว ให้ประคบอุ่นสลับกับประคบเย็นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ โดยปกติแล้วอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายได้เองเมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน
- ช่วง 7 วันแรกหลังศัลยกรรมดึงหน้า ให้ใส่ผ้ารัดหน้าตลอด 24 ชั่วโมง
- หลัง 7 วันไปแล้ว ควรใส่ผ้ารัดหน้าอย่างน้อย 10 – 12 ชั่วโมงต่อวัน และใส่ต่อเนื่องจนครบ 6 เดือน
- หลีกเลี่ยงการนอนราบและไม่ควรนอนคว่ำหน้าประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะอาจเกิดการกระทบกระเทือนแผลผ่าตัดใหม่ได้ ให้นอนยกศีรษะสูงขึ้นกว่าตัว เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- หลังจากศัลยกรรมดึงหน้า ควรพักฟื้นอย่างน้อย 2-3 วัน โดยงดกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจจะทำให้หน้ามีการกระทบกระเทือน
- ควรงดออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง 2 สัปดาห์
- สระผมได้หลังจากแผลผ่าตัดแห้ง (ประมาณวันที่ 4-5)
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และพบแพทย์ตามนัด
- หลังจากศัลยกรรมดึงหน้า หากมีอาการเลือดออกมากผิดปกติ หรือบวมมาก ควรติดต่อแพทย์โดยทันที
หลังศัลยกรรมดึงหน้า ห้ามรับประทานอะไร
- งดรับประทานอาหาร รสจัด เผ็ดจัด เช่น ส้มตำปูปลาร้า ประมาณ 1 เดือน
- อาหารที่มีรสเค็มจัด มักทำให้เกิดอาการบวมน้ำ อาจทำให้ บริเวณแผลบวมได้
- งดรับประทานของหมักดอง อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ในช่วงแรกควรงดอาหารทะเล เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
- อาหารดิบ หรืออาหารไม่ผ่านการปรุงให้สุก เพราะอาจจะมีเชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้แผลหายช้าได้ เช่น ปูดอง ยำกุ้งสดและยำของสดต่าง ๆ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัด
หลังศัลยกรรมดึงหน้า ห้ามทำ อะไร
- ระมัดระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำโดยตรงประมาณ 3 วัน
- ห้ามสระผมหรือโดนน้ำบริเวณแผลผ่าตัด ประมาณ 10-14 วัน
- งดสูบบุหรี่ 2 เดือน เนื่องจากบุหรี่ ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ควรจะงดทำสีผมและการไดร์ผมด้วยลมร้อนในช่วง 6 สัปดาห์แรก เพราะกิจกรรมเหล่านี้อาจทำให้แผลผ่าตัดดึงหน้าโดนสารเคมี โดนความร้อน และส่งผลเสียต่อแผลนั่นเอง
- งดออกกำลังกายหนัก 1 เดือน
- ห้ามนอนคว่ำ นอนตะแคง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- ห้ามกด ห้ามแคะ แกะ เกา หรือขยี้บริเวณผ่าตัดดึงหน้า เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บ
สรุป
ศัลยกรรมดึงหน้า ถือเป็นการผ่าตัดเล็กเพื่อดึงยกกระชับกล้ามเนื้อผิวที่มีความหย่อนคล้อย ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่บริเวณใบหน้าส่วนบน ใบหน้าส่วนกลางถึงส่วนล่าง และไปจนถึงบริเวณลำคอ ผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ เทคนิคที่นำมาใช้ ความพร้อมของผู้รับบริการ การดูแลตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง วิธีดูแลหลังศัลยกรรมดึงหน้าในบทความนี้ เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้รับบริการหรือผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า สามารถนำไปดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องหลังศัลยกรรมดึงหน้า
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ และความสวยงามบนใบหน้า การแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง โดยการผ่าตัดเพื่อปรับระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา หรือการแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไปพร้อม ๆ กับการศัลยกรรมความงามบนใบหน้า อาทิ การทำตาสองชั้น เป็นเทคนิควิธีที่ได้รับความนิยม สำหรับการดูแลหลังแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ควรทำอย่างไร ห้ามรับประทานและมีข้อห้ามอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบมาให้ ค่ะ
วิธีดูแลหลังแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
วิธีรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แพทย์จะเป็นผู้ประเมินหนังตาส่วนบนที่เกิน ตรวจความรุนแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ก่อนจะทำการรักษาหรือแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สำหรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด จะเลาะชั้นกล้ามเนื้อตาออก เย็บให้แข็งแรง หรือผ่าตัดตกแต่งเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับอาการในผู้ป่วยแต่ละบุคคล ส่วนวิธีดูแลหลังแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทำได้ ดังนี้
- ช่วง 72 ชม แรกหลังผ่าตัดแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ให้ประคบเย็นตลอดเวลา เพื่อลดอาการบวม
- หลังประประคบเย็น ช่วง 72 ชม แรก ให้ประคบอุ่นเช้าเย็นจนตัดไหม เพราะการประคบจะช่วยให้อาการบวม ช้ำ หายเร็วขึ้น
- งดใช้สายตา ช่วง 2-3 วันแรกหลังผ่าตัด
- ช่วงสัปดาห์แรก หลังแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ให้นอนศีรษะสูง 45 องศา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดอาการบวม
- ระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ
- ป้ายยาฆ่าเชื้อแบบขี้ผึ้งที่แผลบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- งดการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมาก ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูแผลผ่าตัดจนกว่าจะหายสนิท
- ออกไปข้างนอกให้ใส่แว่นตากันลมฝุ่น สิ่งสกปรก
- งดการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน
- งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูแผลผ่าตัดจนกว่าจะหายสนิท
- งดแต่งหน้า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ล้างแผลทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
- ยาตามแพทย์สั่งจนครบ
- แพทย์ตามนัด เพื่อติดตามอาการ
ผลข้างเคียงของการแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ที่อาจเกิดขึ้นได้
1. กล้ามเนื้อตา เปิดไม่เท่ากัน
กล้ามเนื้อตา มีลักษณะเปิดไม่เท่ากัน อาจเกิดจากกล้ามเนื้อยกเปลือกตาทั้งสองข้างออกแรงได้ไม่เท่ากัน และส่งผลให้ระดับของการเปิดตาทั้งสองข้างไม่สมดุล ขณะลืมตาปกติจึงสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าดวงตามีขนาดไม่เท่ากัน เป็นปัญหาที่อาจเกิดจากแพทย์ไม่ชำนาญในารผ่าตัดกล้ามเนื้อตา
2. มีหนังตาส่วนเกิน
หนังตาส่วนเกินที่เกิดขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาดูตก ตาดูปรือ การมีหนังตาส่วนเกินเหลืออยู่ หลังจากแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแล้ว อาจเกิดจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัด ไม่สามารถผ่าตัดหนังตาส่วนเกินออกได้ในปริมาณที่เหมาะสม จนทำให้เหลือหนังตาส่วนเกิน และยังคงมีอาการหนังตาตก ทำให้ดวงตาดูปรือ
3. ขอบตาไม่เรียบ ชั้นตาไม่โค้งสวยตามรูปตา
ปัญหาขอบตาไม่เรียบ ชั้นตาไม่โค้งสวยตามรูปตา อาจเกิดจากแพทย์ปรับระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตาไม่สมดุลกันตลอดแนวขอบตา และหากเป็นกรณีทำตาสองชั้นร่วมด้วย ก็จะส่งผลให้ชั้นตาไม่โค้งตามรูปตาตามไปด้วย
หลังศัลยกรรมแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ห้ามรับประทานอะไร
- งดรับประทานอาหารหมักดองทุกชนิด เนื่องจากในของดองมีสารกันบูด สารกันเชื้อรา อาจจะทำให้แผลเกิดอาหารคัน หรืออาจมีเชื้อโรคสารปนเปื้อนทำให้แผลอักเสบและติดเชื้อ
- งดรับประทานอาหารทะเลบางชนิด โดยเฉพาะในช่วง 7-14 วันแรก เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
- งดอาหารที่มีรสเค็มจัด อาจทำให้ บริเวณแผลบวมได้
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เพราะอาจทำให้เกิดการแสบร้อนที่แผล ระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งการแข็งตัวของทำให้เลือดออกง่าย
- อาหารดิบ หรืออาหารไม่ผ่านการปรุงให้สุก เพราะอาจจะมีเชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้แผลหายช้าได้
หลังศัลยกรรมแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ห้ามทำอะไร
- หลังผ่าตัดแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เพื่อความปลอดภัย ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะเอง เพราะการมองเห็นจะไม่100 %
- ห้ามใช้สายตา หลังผ่าตัด อย่างน้อย 1-2 วันพักผ่อน เพื่อลดการใช้สายตา
- งดกิจกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือความเสี่ยงที่แผลจะเปิดออก
- ห้ามนอนตะแคงหรือคว่ำหน้า
- ห้ามว่ายน้ำหรือดำน้ำ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อไหล เพราะอาจทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้
- ห้ามออกกำลังกายหนัก อาจทำให้เหงื่อไหลไปที่บริเวณแผล ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
- ห้ามใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลเสียต่อแผล เช่น ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
สรุป
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นปัญหาสุขภาพที่การแก้ไขปัญหา หรือแก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง สามารถทำได้หลายวิธี รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการศัลยกรรมแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทั้งภาวะที่เกิดขึ้นเป็นปกติและหายไปได้เอง หรือภาวะแทรกซ้อนซึ่งต้องรีบดูแลรักษา แต่ทั้งนี้การดูแลตนเองอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงอาหารแสลง และปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ อย่างเคร่งครัด นอกจากปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนแล้ว การแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงยังได้ผลลัพธ์ที่ดีอีกด้วย
การยกหางตา เป็นแนวทางรักษาภาวะหนังตาตก ที่ตอบโจทย์ต่อผู้ที่มีปัญหาหนังตาตกได้มากที่สุด และยังเป็นศัลยกรรมช่วยปรับความสวยงามของรูปตาให้ลักษณะคล้ายตาจิ้งจอก ทำให้มีดวงตาเฉี่ยวคม ดูมีเสน่ห์ เซ็กซี่ น่าค้นหา แบบสายฝออย่างเซเลป Kim Kardashian สำหรับคนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลหลังยกหางตา อาการหลังยกหางตาเป็นอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้า บทความนี้มีคำตอบมาให้ ค่ะ
การยกหางตา คืออะไร
การยกหางตาหรือการผ่าตัดยกหางตา คือการแก้ปัญหาด้วยการยกหางตาและเย็บยึดกับบริเวณกระดูกหางคิ้ว หรือที่เรียกว่าบริเวณขมับ เพื่อยกส่วนท้ายของรูปตาให้สูงขึ้น ทำให้ดวงตาดูสดใสหน้าดูเด็กลง เรียกความรู้สึกมั่นใจต่อรูปตาของตนเองมากขึ้น
วิธีดูแลหลังยกหางตา
- หลังผ่าตัด 48 ชั่วโมงแรก วางเจลประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมหลังผ่าตัด จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่น
- ควรนอนศีรษะสูงกว่าปกติใน31-2 คืนแรกของการผ่าตัด เพื่อลดอาการบวม
- ห้ามให้แผลโดนน้ำในช่วง 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- ใช้ไม้พันสำลีสะอาดที่ฆ่าเชื้อแล้วชุบน้ำเกลือ ทำความสะอาดแผลวันละ 1-2 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือเอามือถูเช็ดตาแรง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลฉีกขาด
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือวิตามิน หากต้องรับประทานควรปรึกษาแพทย์
- งดออกกำลังกายหนักๆ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
- รับประทานยาฆ่าเชื้อที่แพทย์สั่งจนหมด
- พบแพทย์ตามนัด
หลังยกหางตา มีอาการอย่างไร
การยกหางตา เป็นแนวทางการแก้ปัญหาให้กับผู้ที่หนังตาตก และอยากเสริมมิติ ขนาด และองศาของดวงตาให้ดูสวยงามขึ้น สามารถทำได้หลายเทคนิควิธี ทั้งการยกหางตาด้วยวิธีผ่าตัด ยกหางตาด้วยการร้อยไหม ด้วยวิธีฉีดโบท็อก ด้วยการทำ Ulthera และด้วยวิธีทำ Thermage ดังนั้นอาการหลังยกหางตาอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีที่ใช้ เช่น
- การยกหางตาด้วยวิธีผ่าตัด แพทย์จะใช้ยาชาเพื่อระงับความรู้สึก เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ จะรู้สึกเจ็บระบมแผลในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด แต่อาการมักจะอยู่ในระดับที่ทนได้ เนื่องจากแพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้ หรือใช้วิธีประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ
- การยกหางตาด้วยวิธีร้อยไหมหรือฉีกโบท็อก ไม่ใช่การผ่าตัดแต่เป็นการใช้เข็มในการฉีด ผู้รับบริการจะรู้สึกเจ็บในระหว่างที่เข็มจิ้มลงไปใต้ผิวได้บ้าง แต่แพทย์จะมีการทายาชาและแนะนำให้ประคบเย็นช่วย เพื่อบรรเทาอาการปวด
- การยกหางตาด้วยการทำ Ulthera หรือ Thermage หลังทำอาจรู้สึกตึงหรือระบมได้ และรู้สึกเจ็บระบมผิวเล็กน้อย ในช่วง1-3 วัน หลังจากนั้นอาการก็จะบรรเทาหายไป
หลังยกหางตา กี่วันหายและชั้นตาเข้าที่
การยกหางตาด้วยวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การผ่าตัดโดยทั่วไปก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น จะรู้สึกเจ็บระบมแผลในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัดเท่านั้น หลังจากนั้นชั้นตาจะเริ่มเข้าที่และไม่มีอาการเจ็บปวดหรือบวม ส่วนการยกหางตาด้วยวิธีผ่าตัดผู้รับบริการจะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ ชั้นตาเริ่มเข้าที่ หลังจากนั้นสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หลังยกหางตา ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง
- งดอาหารรสจัด อาหารเผ็ดร้อน เช่น ต้มยำ ส้มตำ ยำต่าง ๆ เนื่องจากมีโซเดียมปริมาณสูง ซึ่งโซเดียมจะดูดน้ำเข้าไปเก็บไว้ใต้ผิวหนัง ทำให้แผลบวม
- อาหารดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปลาดิบ ปลาร้า ลาบ ก้อย เพราะเสี่ยงที่แผลจะอักเสบติดเชื้อ
- ของหมักดอง เช่น ผลไม้ดอง อาหารทะเลดอง อาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ ส่งผลให้แผลอักเสบและหายช้า
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด และกระตุ้นการสูบฉีดของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้แผลเลือดออกง่าย
- งดใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากแพทย์แผลจะหายดี
- หลีกเลี่ยง ไม่ให้แผลโดนน้ำ เพราะความชื้นทำให้แผลหายช้า และเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- ห้ามขยี้ตาหรือสัมผัสแผลโดยตรงการยกหางตา เป็นการแก้ปัญหาให้กับคนที่มีหางตาตก คนที่เคยทำตาสองชั้นมาแล้วแต่หนังตาเริ่ม
ตก สามารถทำได้หลายเทคนิควิธี การยกหางตาเป็นแนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยม อีกทั้งยังแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผลลัพธ์ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังยกหางตาทำตาสองชั้นอย่างถูกวิธี จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และทำให้รูปตาเข้าที่เร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ศัลยกรรมตาสองชั้น เป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ใบหน้าดูสวย สดใส แต่งหน้าได้ง่าย และยังเสริมบุคลิกภาพสร้างความมั่นใจให้กับตนเองมากขึ้น ศัลยกรรมตาสองชั้น เป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่หลังทำตาไป ไม่ต้องพักฟื้นเลย ชีวิตได้ตามปกติ สำหรับคนที่มีข้อสงสัย หลังทำควรดูแลตนเองอย่างไร มีอาการอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไร บทความนี้มีคำตอบ ค่ะ
วิธีดูแลหลังศัลยกรรมตาสองชั้น
- ช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดอาจมีเลือดซึมได้เป็นเรื่องปกติ หลังทำตาเสร็จทันทีแพทย์จะมีผ้าก๊อซกดที่แผลไว้ 1 คืน เพื่อซับเลือดที่อาจจะมีซึมหลังจากการผ่าตัด จากนั้นประคบเย็นด้วยเจลเย็น
- สำหรับอาการบวมช้ำ ในช่วง 3 วันแรก ให้ประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา เพื่อลดการบวมช้ำ โดยห้ามไม่ให้เจลเย็นโดนบริเวณแผลที่ทำการผ่าตัด
- ให้ประคบอุ่นบริเวณรอบดวงตา หลังทำตาสองชั้นในวันที่ 56 เป็นต้นไป โดยประคบอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 7 วัน
- นอนศีรษะสูงกว่าปกติในช่วง 3 คืนแรกหลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการบวม
- รักษาทำความสะอาดแผลทุกวัน โดยใช้สำลีก้านที่ฆ่าเชื้อแล้ว ชุบน้ำเกลือเช็ดรอบดวงตาอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อวัน
- หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลบริเวณรอบดวงตาโดนน้ำอย่างน้อย 7 วัน เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงอย่างหนัก ที่ทำให้เหงื่อออกมาก และระมัดระวังอย่าให้เหงื่อหรือสิ่งสกปรกเข้าตา
- รับประทานยาฆ่าเชื้อจนหมดตามที่แพทย์สั่ง ส่วนยาแก้ปวดควรรับประทานเฉพาะเวลามีอาการ
- ควรสวมแว่น เมื่อต้องออกไปข้างนอกเพื่อป้องกันลมฝุ่น และสิ่งสกปรก
- พบแพทย์ตามนัด
หลังศัลยกรรมตาสองชั้น มีอาการอย่างไร
ศัลยกรรมตาสองชั้น เป็นการผ่าตัดเล็กแม้จะใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน แต่ก็ทำให้เกิดรอยแผลภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้นได้มีทั้งสามารถหายไปได้เองไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และอาการผิดปกติ ที่ควรมาพบแพทย์ ดังนี้
อาการแทรกซ้อนปกติที่สามารถหายไปได้เอง
- อาการตาแห้ง มักเกิดในช่วงแรกหลังศัลยกรรมตาสองชั้น และสามารถหายไปได้เอง หรือใช้น้ำตาเทียมหยอด เพื่อบรรเทาอาการได้
- อาการช้ำรอบดวงตา มีลักษณะรอยช้ำรอบดวงตาหรือบริเวณใบหน้า สามารถบรรเทาอาการช้ำรอบดวงตาได้ด้วยการประคบอุ่น หลังจากนั้นอาการบวมช้ำจะค่อย ๆ หายไป
- ตาสองข้างยุบบวมไม่เท่ากัน อาการบวมหลังทำตาสองชั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อาการบวมของตาทั้งสองข้างอาจไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล ระยะเวลาช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล
- รอยแผลเป็นมีสีแดง หลังทำตาสองชั้นหากพบรอยแผลเป็นมีสีแดงหรือมีรอยแดงบริเวณแผลผ่าตัด เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะผิวอยู่ในช่วงสมานแผล โดยรอยแดงจะค่อย ๆ จางลงและหายได้เอง
- รอยแผลไม่เรียบเนียน หรือแผลคีลอยด์ เป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ และสามารถรักษาได้ด้วยการฉีดยาหรือเลเซอร์ รวมถึงหมั่นทายาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้รอยแผลเป็นค่อย ๆ จางลง
อาการแทรกซ้อนหลังทำตาสองชั้น ที่ควรพบแพทย์
- แผลแยกออกจากกัน และมีเลือดซึมออกมา อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ กรณีนี้ควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- แผลอักเสบติดเชื้อ มีลักษณะบวมแดง มีอาการเจ็บ และมีหนองไหลออกมา เกิดขึ้นได้จากการดูแลแผลไม่เหมาะสม หรือดูแลไม่ถูกวิธี การพบแพทย์จะรักษาโดยการให้รับประทานยา และทายาปฏิชีวนะ ร่วมกับการล้างแผลอย่างถูกวิธี
ศัลยกรรมตาสองชั้น กี่วันหาย
ศัลยกรรมตาสองชั้น ผลลัพธ์การผ่าตัดและระยะเวลาแผลหาย ชั้นตาเริ่มเข้าที่ จะใช้ระยะเวลาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสุขภาพและการดูแลตนเองของผู้รับบริการ โดยทั่วไปหลังจากทำสองชั้น 7- 10 วัน เป็นช่วงที่แผลเริ่มสมานดี อาการบวมน้อยลงตามลำดับ ชั้นตาจะเข้าที่ ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น หลังตัดไหมแล้ว สามารถล้างหน้า และแต่งหน้าโดยเว้นบริเวณรอบดวงตา เมื่อผ่านไป 3 เดือน ชั้นตาจะเริ่มเข้าที่ มีชั้นตา และดวงตาหวานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ศัลยกรรมตาสองชั้น ห้ามกินและห้ามทำอะไร
หลังทำตา ห้ามกินอะไร
- อาหารรสจัด เพราะมีความเผ็ดร้อน อาจทำให้เหงื่อออกมาก อาจทำให้แผลเปียกชื้น ทำให้แผลติดเชื้อได้
- อาหารดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะอาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่ เสี่ยงที่แผลจะอักเสบติดเชื้อ
- ของหมัก ของดอง เช่น ผลไม้ดอง อาหารทะเลดอง แหนม เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ รวมทั้งสารเคมีต่าง ๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา ที่ส่งผลให้แผลอักเสบและหายช้า
- อาหารทะเล เพราะเบางคนอาจแพ้อาหารทะเลบางชนิด โดยไม่รู้ตัวซึ่งจะไปกระตุ้นให้อาการภูมิแพ้กำเริบ ทำให้เกิดอาการบวมและคันบริเวณใบหน้า และดวงตา
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการสูบฉีดของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดออกง่าย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด
- อาหารเสริมและวิตามิน เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา เพราะมีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้าแข็งตัวช้า ทำให้แผลบวมอักเสบได้
หลังทำตา ห้ามอะไร
- ห้ามทำกิจกรรมที่อาจทำให้แผลเปิด แผลแยก หรือติดเชื้อ
- งดใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้ใส่ได้ เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง อักเสบ และติดเชื้อได้
- ห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำ เพราะความชื้นทำให้แผลหายช้า และเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- ห้ามนอนตะแคงหรือคว่ำหน้า เพื่อป้องกันการกดทับและกระทบกระเทือนบริเวณแผล
- ห้ามขยี้ตาหรือสัมผัสแผลโดยตรง เนื่องจากการถูขยี้ตาอาจทำให้แผลที่ยังไม่สมานแยกออก อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ศัลยกรรมตาสองชั้น เป็นการผ่าตัดเล็กเพื่อสร้างชั้นตาขึ้นมาใหม่ หรือทำให้ได้ชั้นตาที่สวยงาม ผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากขึ้นอยู่กับเทคนิค ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์แล้ว การดูแลตนเองหลังศัลยกรรมตาสองชั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญ วิธีดูแลหลังศัลยกรรมตาสองชั้น อาการหลังศัลยกรรมเป็นอย่างไร กี่วันหาย ทำแล้วห้ามกินและห้ามทำอะไร ในบทความนี้ คงเป็นประโยชน์และช่วยให้คนที่กำลังคิดจะทำตาสองชั้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ
ศัลยกรรมเสริมจมูก เป็นการผ่าตัดเล็กที่ทำให้เกิดรอยแผล อีกทั้งผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องถูกให้ยาระงับความรู้สึกก่อนที่จะทำการผ่าตัด ในช่วงระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัด การดูแลตัวเองสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการฟื้นฟูและทำให้ผลลัพธ์ของการศัลยกรรมออกมาสวยงามตามที่วางแผนไว้ หลายคนอาจมีข้อสงสัย วิธีดูแลหลังเสริมจมูก มีอาการอย่างไร กี่วันหาย ห้ามกินและห้ามทำอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาให้ ค่ะ
หลังเสริมจมูก มีอาการอย่างไร กี่วันหาย
ปกติการผ่าตัดเสริมจมูก ใช้เวลาประมาณ 1 – 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ วิธีการผ่าตัด และขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคล โดยทั่วไปอาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก มีดังนี้
อาการหลังออกจากห้องผ่าตัด
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูกที่เกิดขึ้นทันที อาจพบว่ามีเลือดออกมา มีอาการตึง ๆ บริเวณจมูกหรือบริเวณที่ผ่าตัด แต่เป็นอาการเพียงเล็กน้อยจากฤทธิ์ของยาชา และทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ สามารถมองเห็นรูปทรงจมูกได้อย่างชัดเจน
การดูแลตนเอง หลังออกจากห้องผ่าตัด หากมีอาการปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก หลังจากหมดฤทธิ์ของยาชา ให้รับประทานยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบตามที่แพทย์สั่ง ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ในร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ฟื้นตัวได้เร็ว และรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป
อาการช่วง 1-3 วัน แรก หลังผ่าตัดเสริมจมูก
อาการบวม รู้สึกตึงที่บริเวณแผลมากกว่าวันแรกที่ออกจากห้องผ่าตัด อาจเขียวช้ำบริเวณจมูกหรือใต้ตา ช่วง 1 – 2 วันแรก อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก บวมบริเวณใบหน้า
วิธีดูแลทำได้โดยประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมช้ำ และรับประทานยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบตามที่แพทย์สั่งให้หมด อย่าให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ การดูแลผิวหน้า ให้ใช้สำลีแบบแผ่นชุบน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือใช้คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาด หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เค็มจัด เพราะจะทำให้ร่างกายบวมน้ำ จมูกยุบบวมได้ช้า
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก ช่วง 7 วัน
หลังผ่าตัดเสริมจมูก ช่วง 7 วัน สามารถแกะเฝือกที่จมูกออกได้แล้ว อาการบวมจะเริ่มยุบลง แต่อาจพบว่ามีเลือดออกจมูก เป็นเลือดซึม หรือก้อนเลือดแข็งรวมถึงบ้วนปากแล้วอาจมีก้อนเลือด ไม่ต้องตกใจหรือกังวล เพราะจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ส่วนอาการบวมจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมจมูก ช่วง 7 วัน สามารถประคบเย็น ด้วยผ้าเย็น เจลเย็น หรือถุงน้ำแข็งบริเวณข้างแก้ม และหน้าผากได้ งดออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหนักมาก ๆ รับประทานอาหารที่มีโปรตีน เพื่อช่วยซ่อมแซมร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ นม ถั่ว อาหารที่มีไขมันดี
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูกช่วง 14 วัน
กาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก ในช่วงนี้ อาการบวม รวมทั้งรอยฟกช้ำต่าง ๆ จะเริ่มยุบและจางหายไป อย่างเห็นได้ชัด และครบกำหนดที่แพทย์จะนัดเข้ามาตัดไหม ควรพบแพทย์ตามนัด
สำหรับการดูแลตนเอง หลังจากพบแพทย์เพื่อตัดไหม หลังตัดไหม ให้ใช้คัตตอนบัดชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณแผลให้สะอาด หากเป็นหวัด ต้องรับประทานยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูกทันที เพื่อป้องกันน้ำมูกไหลมาโดนแผล อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก 1 เดือน
หลังผ่าตัดเสริมจมูกในช่วง 1 เดือน อาการบวมยุบลงประมาณ 80 % และเริ่มสังเกตเห็นรูปทรงจมูกที่เสริมได้ชัดเจน รอยช้ำหายเป็นปกติ หรือบางคนอาจมีรอยช้ำให้เห็นอยู่เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน
วิธีดูแลตนเอง หลังผ่าตัดเสริมจมูก 1 เดือน งดการนอนคว่ำ นอนตะแคง งดการนวดหน้า หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนรุนแรงต่อจมูก ทายา หรือขี้ผึ้งทาแผลที่แพทย์ให้มา พบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อความต่อเนื่องของการรักษา
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก 3 เดือน
อาการหลังจากการทำจมูกผ่านไป 3 เดือน เป็นช่วงเวลาที่จมูกเริ่มจะรัดแกน หรือจมูกกำลังจะเข้าที่ เนื่องจากร่างกายจะสร้างกลุ่มเนื้อเยื่อ เพื่อมาโอบรัดวัสดุที่ใช้เสริมจมูก ทำให้เห็นทรงจมูกชัดขึ้น ทรงจมูกเริ่มสวยเป็นธรรมชาติมากขึ้น
วิธีดูแลตนเองในช่วงนี้ ควรงดการสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้แผลติดเชื้อแล้วส่งผลกระทบจนต้องถอดซิลิโคนออก
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก 6 เดือน
อาการหลังผ่าตัดเสริมจมูก หลังจากเวลาผ่านไป 6 เดือน จมูกจะเข้าที่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และดูเป็นธรรมชาติ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้จมูกเข้าที่ได้เร็วขึ้น
หลังผ่าตัดเสริมจมูก ห้ามกิน และห้ามทำอะไรบ้าง
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมจมูก มีส่วนสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ได้ เพราะการผ่าตัดเสริมจมูก นอกจากเป็นการผ่าตัดเล็กที่ทำให้เกิดแผล มีอาการบวมช้ำ แม้จะเป็นอาการที่สามารถหายได้เอง หากขาดการดูแลตนเองอย่างถูกต้องอาจทำให้แผลอักเสบได้ หลังผ่าตัดเสริมจมูก ห้ามกิน และห้ามทำ สิ่งต่อไปนี้
- ห้ามรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะจะส่งผลต่อการอักเสบของแผล
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปรุงไม่สุก กรรมวิธีการทำไม่สะอาด เช่น ปลาร้า แหนม ปูดอง
- อาหารรสเผ็ด อาหารรสจัดจ้าน ทำให้โพรงจมูกมีอาการบวม น้ำมูกไหล เป็นสาเหตุให้มีการติดเชื้อของแผลผ่าตัดได้
- อาหารที่มีรสเค็ม โซเดียมสูง เพราะจะทำให้บวมน้ำ จมูกยุบบวมช้า
- หลีกเลี่ยงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ มีโอกาสเกิดการกระทบกระเทือนทำให้จมูกเสียรูปทรง และเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย
- ควรดื่มน้ำเปล่าให้มาก เพื่อให้เซลล์ในร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็ว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบ บิด แคะ แกะ เกาจมูก เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บและเกิดการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อผิดปกติ
- ห้ามนอนคว่ำ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรนอนยกศีรษะสูงประมาณ 30 องศา
- ช่วง 7 วันหลังผ่าตัด ห้ามแผลผ่าตัดโดนน้ำ
- ควรงดรับประทานอาหารเสริม ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเสริมจมูก
สรุป
การผ่าตัดเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมความงามเพื่อเพิ่มความโดดเด่นบนใบหน้า ช่วยเสริมบุคลิกภาพสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ส่วนผลลัพธ์จากการผ่าตัด นอกจากขึ้นอยู่กับเทคนิคและความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์แล้ว การดูแลตัวเองสำคัญอย่างมาก หลีกเลี่ยงสิ่งที่ห้ามกินและห้ามทำ ควรมีข้อมูลวิธีดูแลตนเองหลังเสริมจมูกอย่างถูกต้อง รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งกับ “โรงพยาบาลเมโกะ MEKO HOSPITAL” ยกระดับมาตรฐานวงการความงามระดับโลก พร้อมให้บริการเร็ว ๆ นี้
นี่ถือว่าเป็นก้าวครั้งยิ่งใหญ่ของ Meko Group สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน กับการครบรอบ 40 ปี ที่ก้าวเข้าสู่ “โรงพยาบาลเมโกะ” จุดหมายสำคัญในการดูแลความงามระดับโลก ใจกลางกรุงเทพมหานคร สะดวกใกล้ทางด่วนวิภาวดี พร้อมยกระดับมาตราความงามแบบครบวงจร ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม นำทีมโดย นพ. มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเมโกะ และ ผศ.พญ. แพรมาลา ฉายาวิจิตรศิลป์ CEO & ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ MekoClinic และทีมศัลยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แนวหน้าของประเทศไทย กับเทคโนโลยีใหม่ที่ล้ำสมัย พร้อมการให้บริการแบบ VVIP ครบจบในที่เดียว ภายใต้แนวคิดหลัก Safe and Sincere ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานมานานกว่า 4 ทศวรรษของ Meko Group
ใส่ใจทุกองค์ประกอบพร้อมต้อนรับผู้รับบริการจากทั่วโลก
MEKO HOSPITAL ออกแบบมาเพื่อต้อนรับผู้รับบริการจากทั้งประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยพื้นที่ให้บริการ อาคารขนาดใหญ่กว่า 7 ชั้นที่ล้ำสมัย รองรับการจอดรถได้มากกว่า 70 คัน ทุกด้านของโรงพยาบาลดีไซน์มาเพื่อให้มีความสะดวกสบายในการรับบริการที่สุด
ทั้งตัวอาคารและการออกแบบภายในดีไซน์ด้วยสไตล์หรูหราทันสมัยระดับโรงแรม High-End จัดวางพื้นที่อย่างพิถีพิถันด้วยบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจใช้สีวัสดุตกแต่งที่ดูเป็นธรรมชาติมาผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ MEKO HOSPITAL ซึ่งสะท้อนถึงความใส่ใจอย่างแท้จริง
ห้องบริการส่วนตัว VVIP ดูแลความงามแบบองค์รวมเฉพาะบุคคล
MEKO HOSPITAL ให้ความสำคัญกับการดูแลความงามที่ไม่เหมือนใคร ออกแบบการรักษาเฉพาะของแต่ละบุคคลอย่างละเอียดด้วยทีมอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทุกขั้นตอนการรับบริการจะคำนึงถึงความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความสะดวกสบายเป็นหลัก
บริการครบวงจร ปลอดภัยมาตรฐานโรงพยาบาลระดับสากล
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการจากทั่วทุกมุมโลกด้วยศักยภาพความเชี่ยวชาญในการรักษา การทําหัตถการที่หลากหลาย รองรับทั้งส่วนศัลยกรรม อาทิ เสริมจมูกปรับโครงสร้าง ดึงหน้าเสริมหน้าอกและการดูแลผิวพรรณโดยเป็นการรักษาโดยใช้เทคนิคการแพทย์ที่พัฒนาจากประสบการณ์กว่า 40 ปีของเมโกะกับการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีล่าสุดของการแพทย์ที่นำมาใช้ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด ทำให้หายไว พักฟื้นน้อย
ห้องพักฟื้นส่วนตัว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่โรงแรม High-End
สร้างมิติใหม่ในการดีไซน์ห้องพักฟื้นที่มีความหรูหราและกว้างขวางพร้อมระบบการดูแลความปลอดภัยเต็มรูปแบบ รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง มีการตกแต่งที่เน้นความสบาย ผ่อนคลาย อบอุ่น เช่น เตียงที่ปรับระดับได้ตามสรีระของผู้รับบริการ ระบบควบคุมอุณหภูมิห้อง มีหน้าต่างกันUVขนาดใหญ่ทุกห้องเพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถส่องเข้ามาในห้องได้อย่างปลอดภัยต่อผิวและช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในขณะพักฟื้น
แผนที่ MEKO HOSPITAL ปากซอยวิภาวดี 5 ถนนวิภาวดี เยื้องการบินไทย สำนักงานใหญ่
ในปัจจุบันซิลิโคนเสริมหน้าอกของทาง Meko จะมีให้เลือกหลากหลายแบบด้วยกัน ขึ้นอยู่ที่สรรีระและความต้องการของผู้เสริมหน้าอก โดยในแต่ละแบบก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
ซิลิโคนเสริมหน้าอกแต่ละรุ่นที่ Meko เลือกใช้
ซิลิโคน Mentor รุ่นมาตรฐาน
ซิลิโคน MENTOR รุ่นมาตรฐานมีพื้นผิวเรียบเนียน มีลักษณะเป็นทรงกลม ตัวซิลิโคนคงรูปไม่เกิดการบิดเบี้ยว ความปลอดภัยสูง ส่วนประกอบของซิลิโคนเป็นแบบเนื้อเจล 93% เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกอยู่บ้าง
คุณสมบัติ
- เปลือกซิลิโคนยิดหยุ่นได้ถึง 2 เท่า
- มีความแข็งแรง
- ผิวสัมผัสนิ่ม นุ่มนวล เป็นธรรมชาติ
- มีความพุ่งให้เลือกถึง 6 ทรง
- หน้าอกมีความอวบอิ่ม เต่งตึง เข้ารูปสวยงาม
การรับประกัน
- รับประกันซิลิโคนแตก รั่ว คลิดชีพ
- ไม่ต้องลงทะเบียน
ซิลิโคน MENTOR รุ่น Memorygel xtra
ซิลิโคนชนิด MENTOR Memorygel xtra เป็นซิลิโคนรุ่นใหม่ของทาง Mentor ถูกออกแบบให้เหมาะกับสรรีคนเอเชีย จะมีรูปทรงเป็นแบบกึ่งหยดน้ำ ผิวเรียบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อย ให้กลับมามีหน้าอกที่อิ่มฟู ทรงพุ่ง เนินหน้าอกชัด รวมทั้งเหมาะกับผู้ที่แก้เสริมหน้าอกใหม่จากปัญหาการเห็นริ่วซิลิโคน
คุณสมบัติ
- ผนังที่ใช้หุ้มซิลิโคนบางลงถึง 35%
- มีความยืดหยุ่นถึง 8 เท่า
- ความแข็งแรงมากกว่า 30%
- มีสัมผัสนิ่มเป็นธรรมชาติกว่ารุ่นแรก
- ทนต้องแรงกดดัน ทนต่อความกดอากาศ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
- ซิลิโคนคืนรูปเดิมได้ เมื่อถูกบีบอัด
กระรับประกัน
- รับประกันการเกิดพังผืด 10 ปี
- รับประกันซิลิโคนแตก รั่ว ตลอดชีพ
- ไม่ต้องลงทะเบียน
ซิลิโคน MENTOR รุ่น Ultimate
ซิลิโคน MENTOR Ultimate เป็นอีกซิลิโคนที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหมาะกับสรีระมากที่สุด ตัวซิลิโคนเป็นแบบผิวเรียบ เนื้อเจลเต็ม 100% สัมผัสนุ่ม และเคลื่อนไหวได้ตามสรีระหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ เสมือนเต้านมจริงๆ รวมทั้งซิลิโคนมีความพุ่งระดับ Moderate hight ทำให้หน้าอกที่เสริมไปนั้นจะดูเซ็กซี่เป็นธรรมชาติมากที่สุด การันตีโดยผู้หญิงมากกว่า 8 ล้านคนทั่วโลกมั่นใจเลือกเสริมซิลิโคน Mentor
คุณสมบัติ
- ที่สุดของความ “นุ่มเป็นธรรมชาติ” แบบ 3 มิติ
- เปลือกซิลิโคนแข็งแรง และยืดหยุ่นดีขึ้น
- ทรงเต้านมเสมือนจริง เนินอกอิ่มฟูดูคล้อยธรรมชาติ
- ออกแบบมาให้ขนาดพอดีกับสรีระมากที่สุด
- สัมผัสนุ่ม เหมือนเนื้อเต้านมจริงมากขึ้น
- ความพุ่งระดับ Moderate hight ได้ความเซ็กซี่ แต่เป็นธรรมชาติ
- แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กประมาณ 2.5 ซม.
- รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบผลิตในอเมริกา
การรับประกัน
- รับประกันการเกิดพังผืด 10 ปี
- รับประกันซิลิโคนแตก รั่ว ตลอดชีพ
- รับประกันน้ำเหลืองคั่ง 10 ปี
- รับประกันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากซิลิโคนหน้าอก 10 ปี
- ไม่ต้องลงทะเบียน
ซิลิโคน Motiva รุ่น implants
ซิลิโคนรุ่น Motiva implants โดดเด่นในเรื่องความนุ่ม และยืดหยุ่นสูง ตัวซิลิโคนจะใช้วัสดุที่เรียกว่า Nano Texture ทำให้ผิวสัมผัสเรียบกึ่งทรายเมื่อสัมผัสจะรู้สึกเหมือนหน้าอกจริงๆ โดยตัวซิลิโคนจะเป็นเนื้อเจลสูงถึง 90% ทรงหน้าอกที่ได้จากการเสริมจะมีความพุ่ง เนินหน้าอกชัดเจน เหมาะกับสาวๆ ทุกคน ที่มีหน้าอกบาง เนื้อหน้าอกน้อย และยังไม่ต้องนวดหน้าอกหลังเสริมเสร็จด้วย
คุณสมบัติ
- ซิลิโคนนิ่มมาก นมไม่แข็ง
- สัมผัสนุ่ม สมูท เป็นธรรมชาติ
- เสริมแบบใต้กล้ามเนื้อ ลดโอกาสเกิดพังผิดได้เป็นอย่างดี
- ให้สัมผัสที่เหมือนจริงยิ่งขึ้น เสมือนการสัมผัสหน้าจริง
- ผิวหน้าอกเนียนนุ่ม ไม่เป็นริ้วซิลิโคน
- มี Bluseal จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วซึมของซิลิโคนเจล
- ปลอดภัยจากการอักเสบ น้ำเหลืองคลั่ง และมะเร็งน้ำเหลือง ALCL
การรับประกัน
- รับประกันการเกิดพังผืด 10 ปี
- รับประกันซิลิโคนแตก รั่ว ตลอดชีพ
- ลงทะเบียนข้อมูลกับทางบริษัท
ซิลิโคน Motiva รุ่น Joy (Motiva Ergonomix 2)
ซิลิโคนรุ่น Motiva Joy (Motiva Ergonomix 2) เป็นซิลิโคนที่ถูกอัพเกรดขึ้นจากซิลิโคนรุ่น Motiva Ergonomix แรก ตัวซิลิโคนจะมีความนิ่มมากเป็นพิเศษเนื่องจากใช้เป็นเนื้อเจลเต็ม 100% ส่วนของพื้นผิวภายนอกก็จะมีความยืดหยุ่นสูงขึ้น ส่วนของเนื้อสัมผัสจะมีความใกล้เคียงกับหน้าอกจริงมากที่สุด รวมทั้งรูปทรงของซิลิโคนสามารถเคลื่อนไหวตามสรีระร่างกายของผู้เสริมได้อย่างธรรมชาติ
คุณสมบัติ
- เนื้อสัมผัสนิ่มขึ้นกว่ารุ่น Ergonomix 45%
- ยืดหยุ่นเพิ่มมากกว่าเดิมถึง 32%
- รองรับแรงดึงได้มากถึง 270%
- สัมผัสเนื้อซิลิโคนมีความใกล้เคียงกับเนื้อหน้าอกจริงมากที่สุด
- รูปทรงมีความหย่อนคล้อย และเคลื่อนไหวตามสรีระร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
- ผิวหน้าอกเนียนนุ่มไม่เป็นริ้วซิลิโคน
- มี Bluseal จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วซึมของซิลิโคนเจล
- ปลอดภัยจากการอักเสบ น้ำเหลืองคลั่ง และมะเร็งน้ำเหลือง ALCL
การรับประกัน
- รับประกันการเกิดพังผืด 10 ปี
- รับประกันซิลิโคนแตก รั่ว ตลอดชีพ
- QID ฝังชิพ เก็บข้อมูลซิลิโคนลงทะเบียนข้อมูลกับทางบริษัท
สาเหตุของปัญหาคิ้วตก หางตาตก ที่ทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นมิตร ใบหน้าบึ้งตึง เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยที่หย่อนคล้อย ริ้วรอยหน้าผาก รอยตีนกา รวมไปถึงปัญหาชั้นตาที่เริ่มตกหรือหนังตาหย่อนคล้อยจากอายุที่สูงขึ้นจนกลายเป็นชั้นตาหลบใน ปัญหาเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการศัลยกรรมยกคิ้ว ซึ่งส่วนมากจะทำในกรณีที่ชั้นตาตกมาก ๆ หรือผู้ที่มีชั้นตาระหว่างคิ้วใกล้กันมาก
คิ้วตก คืออะไร
ตำแหน่งของคิ้วอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ โดยส่วนมากคิ้วที่ได้รูปสวยอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ขอบกระดูกเบ้าตาและห่างจากเปลือกตาบนประมาณ 2 – 2.5 ซม. เป็นอย่างน้อย กรณีคิ้วอยู่ห่างจากกระดูกเบ้าตามากเกินไป หรือหางคิ้วอยู่ต่ำกว่าหัวคิ้วจนมีลักษณะคิ้วตกอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพหรือส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะคนที่เชื่อเรื่องโหงวเฮ้งของใบหน้า
สาเหตุของปัญหาคิ้วตก
ปัญหาคิ้วตก คิ้วไม่เท่ากัน หรือบางคนอาจมีปัญหาหนังตาตกร่วมด้วย ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้หน้าดูมีอายุมากขึ้นและส่งผลต่อบุคลิกภาพ แม้ปัจจุบันจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด แต่การศัลยกรรมจะได้ผลดีและแก้ไขปัญหาได้มากน้อยเพียงใดยังขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะคิ้วตกในแต่ละบุคคลอีกด้วย เช่น
- ปัญหาคิ้วตกที่เป็นมาตั้งแต่แรกเกิด อาจเป็นเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้
- อายุที่มากขึ้น เพราะกล้ามเนื้อและผิวหนังมีความยืดหยุ่นตามอายุที่มากขึ้น
- กล้ามเนื้อเปลือกตาทำงานผิดปกติจากเส้นประสาทในสมอง เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะคิ้วตก
- หนังตาเยอะหรือหนา ก็มีส่วนทำให้หนังตาหย่อนคล้อยได้เช่นกัน เพราะมีส่วนทำให้ความตึงของผิวหนังลดลง
ยกคิ้วไม่เหมาะกับใคร ?
การยกคิ้ว เป็นศัลยกรรมความงามบนใบหน้าที่นอกจากช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก คิ้วไม่เท่ากัน หนังตาตก หางตาตก ให้ยกสูงขึ้นในระดับที่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการปรับรูปหน้าเปลี่ยนโหงวเฮ้งเสริมบุคลิกภาพให้ดีขึ้น สามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เนื่องจากการยกคิ้วมีหลายเทคนิควิธี แต่ละวิธีมีข้อจำกัดในการทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีก่อนทำควรรู้ก่อนว่าการยกคิ้วไม่เหมาะกับใคร เช่น
- ศัลยกรรมยกคิ้ว เทคนิค Direct brow lift ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการให้เกิดแผลเป็นบริเวณใบหน้า หรือคนที่มีขนคิ้วบาง เพราะจะทำให้เห็นแผลเป็นชัด
- คนที่มีปัญหาเป็นคีลอยด์ง่าย เพราะการศัลยกรรมยกคิ้วอาจทำให้เกิดแผลนูน ซึ่งเป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจนบนใบหน้า
- คนที่มีปัญหาในการสักคิ้วสูงเหนือโครงคิ้วพื้นฐานของตัวเอง ไม่สามารถศัลยกรรมยกคิ้วได้
- คนที่เสริมหน้าผากด้วยซิลิโคน ไม่สามารถศัลยกรรมยกคิ้วได้
ในปัจจุบันสาวๆหลายคนคงพบกับปัญหา แก้มป่อง แก้มยุ้ย แก้มเยอะ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องพบปะผู้คน หรือการถ่ายรูป และเรื่องหน้าตาก็สำคัญไม่น้อยเลยสำหรับสาวๆ ที่ต้องทำงานและใช้ชีวิตที่ต้องพบปะผู้คน และใบหน้าที่มีไขมัน ก็ย่อมทำให้โครงหน้าไม่ชัด หน้าอ้วน หน้ากลม หน้าไม่สมส่วน ไม่เรียวสวย ทำให้หลายคน หันมาให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมตัดไขมันกระพุ้งแก้มเพื่อเปลี่ยนขนาดของกรอบหน้าให้ดูเล็กลงและให้หน้ามีความเรียวขึ้น
จุดเด่นของการตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- เห็นผลเร็ว เห็นขนาดแก้มที่ลดลงและโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนไปภายในไม่กี่เดือน หรืออาจเห็นผลได้ทันทีหลังผ่าตัด
- เห็นผลชัดเมื่อเทียบกับวิธีออกกำลังกายและคุมอาหารที่อาจไม่ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดมาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีไขมันที่กระพุ้งแก้มเยอะตามพันธุกรรมหรือโครงสร้างใบหน้าอยู่แล้ว
- เป็นการตัดไขมันออกอย่างถาวร เพราะเป็นการผ่าตัดนำไขมันที่อยู่ในชั้นไขมันกระพุ้งแก้มออก ไม่ใช่ชั้นไขมันส่วนเกินใต้ผิว ซึ่งจะไม่กลับมาเกิดซ้ำหรือเกิดใหม่ได้น้อยมาก
- ไม่ต้องกลับมาทำซ้ำบ่อยๆ ต่างจากวิธีดูดไขมันหรือฉีดสารสลายไขมันที่มักต้องกลับมาทำซ้ำอีกทุกๆ 1-3 เดือน
- ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่และแผลผ่าตัดเล็ก ส่วนมากมีขนาดไม่ถึง 3 เซนติเมตร ทำให้ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนผ่าตัดมากเป็นพิเศษ และไม่ต้องพักฟื้นนาน
การเตรียมตัวก่อนตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เป็นการผ่าตัดเล็กเพื่อทำให้ไขมันบริเวณแก้มหายไป และได้รูปหน้าที่เรียวเล็กอย่างถาวร นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาแก้มห้อย แก้มมีลักษณะหย่อนคล้อยจากอายุที่มากขึ้นได้อย่างเห็นผล แต่ทั้งนี้แม้การตัดไขมันกระพุ้งแก้มจะเป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมและมีความปลอดภัยสูง ในส่วนของขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะต้องเปิดผิวที่กระพุ้งแก้มด้านในโดยเปิดลงลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อลงไปยังชั้นไขมันกระพุ้งแก้ม จึงต้องมีการเตรียมตัวก่อนตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ดังนี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน จดทะเบียนได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
- พบแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว แจ้งประวัติการแพ้ยา (กรณีเคยแพ้ยา) ให้แพทย์ทราบโดยละเอียดก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- งดรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามินชนิดต่าง ๆ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจมีผลกระทบ ทำให้เลือดแข็งตัวช้า
- งดใช้ยาแก้ปวดอย่าง ลดกล้ามเนื้ออักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดการเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- วันนัดผ่าตัด แปรงฟันทำความสะอาดช่องปากให้เรียบร้อย
- งดการแต่งหน้าในวันผ่าตัด
การตัดไขมันกระพุ้งแก้มมีขั้นตอนอย่างไร?
การตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นการปรับรูปหน้า และลดขนาดแก้มให้มีขนาดเรียวเล็กลงอย่างถาวร สำหรับการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม แต่ละคลินิกอาจมีเทคนิคและวิธีการที่แตกต่างกันโดยหลัก ๆ แล้วมีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้
- เริ่มจากการทำความสะอาดช่องปาก โดยให้ผู้เข้ารับบริการอมน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อทำความสะอาดช่องปาก ก่อนตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- ศัลยแพทย์เริ่มฉีดยาชาให้กับผู้เข้ารับบริการ
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์ เริ่มใช้อุปกรณ์เปิดช่องปากเพื่อทำการผ่าตัด โดยศัลยแพทย์อาจใช้มีดผ่าตัดหรือกล้องผ่าตัดขนาดเล็กเปิดผิวที่กระพุ้งแก้มด้านใน เปิดลงลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อลงไปยังชั้นไขมันกระพุ้งแก้ม
- แพทย์ทำการตัดไขมันที่อยู่กระพุ้งแก้มบางส่วนออก เพื่อลดปริมาณชั้นไขมันกระพุ้งแก้มให้น้อยลง
- เย็บปิดแผลในขั้นตอนสุดท้าย โดยใช้เวลาผ่าตัดทั้งหมดเพียง 40 นาทีเท่านั้น
การดูแลตนเองหลังตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้อย่างเคร่งครัด
- ทำความสะอาดช่องปากด้วยแปรงสีฟันและน้ำยาบ้วนปากทุกครั้ง
- หากมีอาการปวดแผล ให้ประคบเย็นหรืออมน้ำแข็งสะอาดในช่วง 2-3 วันแรก และตามด้วยการประคบอุ่นที่แผลหลังจากนั้น
- งดอาหารร้อน อาหารเผ็ด อาหารรสจัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
- งดออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะประมาณ 1-2 สัปดาห์
- มาพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจความเรียบร้อยของแผลทุกครั้ง
สรุป ข้อดีและข้อเสียของ การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
การมีใบหน้าเรียวได้รูปสวย ช่วยเสริมเสน่ห์ใบหน้าให้สวยโดดเด่นยิ่งขึ้น คนที่มีปัญหาแก้มป่องผู้ที่สัดส่วนของแก้มไม่สอดคล้องกับรูปร่าง จึงเลือกศัลยกรรมด้วยการตัดไขมันกระพุ้งแก้มเพื่อปรับรูปหน้า วิธีนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ทำไมจึงเป็นที่นิยม
ข้อดี ของการตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- ช่วยปรับรูปหน้าทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลง และได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- เสริมสร้างบุคลิกภาพ เพราะเป็นการแก้ปัญหาโครงสร้างใบหน้าที่ดูกลม ไม่สมส่วน ให้รูปหน้าเรียว แก้มเล็กลงถาวร
- เป็นวิธีแก้ไขปัญหาไขมันที่กระพุ้งแก้มได้อย่างตรงจุด
- การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เป็นการผ่าตัดเล็ก สูญเสียเลือดไม่มาก เจ็บตัวน้อย และหลังผ่าตัดฟื้นตัวได้เร็ว
- การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ไม่มีรอยแผลเป็นภายนอกหรือรอยช้ำ เนื่องจากซ่อนแผลไว้ในช่องปาก
- การผ่าตัดกระพุ้งแก้มใช้ระยะเวลาไม่นาน
ข้อเสีย ของการตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมและมีความปลอดภัยสูง หากเลือกจากคลินิกที่ได้มาตรฐานจดทะเบียนได้รับอนุญาตถูกต้อง มีศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ส่วนข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้มักมาจากการรับบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความเชี่ยวชาญไม่มากพอ เช่น
- ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ อาจทำให้แก้มตอบเกินไปทำให้ใบหน้าดูโทรม
- การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม อาจเสี่ยงต่อการที่เส้นประสาทได้รับการกระทบกระเทือนจนทำให้มุมปากตก
- อาจมีอาการบวม ช้ำ และการผ่าตัดอาจกระทบกระเทือนที่ท่อน้ำลายได้
- อาจมีอาการชาบริเวณที่ผ่าตัดได้ ซึ่งมักเกิดในช่วงแรก ๆ หลังการตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
Rejuran คืออะไร
รีจูรัน (Rejuran) คือ การกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ เป็นสารสกัดจาก Polyneucleotide ที่มาจาก DNA ของปลาแซลมอน (Wild Salmon DNA) ที่อาศัยอยู่ในทะเลตามธรรมชาติ ซึ่งใกล้เคียง DNA มนุษย์มากที่สุด สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยซ่อมแซมถึงระดับเซลล์ผิว การฉีดรีจูรัน จะช่วยในเรื่องการฟื้นฟูใบหน้าในระดับชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว มีออร่า เปล่งปลั่งแข็งแรง และผิวสุขภาพดี
Rejuran ต้องฉีดกี่ครั้ง เห็นผลเร็วแค่ไหน?
Rejuran นวัตกรรมการดูแลผิวพรรณให้สวย เนียนใส มีผิวที่ฉ่ำวาว สไตล์สาวเกาหลี ที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม นอกจากนั้นยังสามารถลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพสีผิวให้ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน และผ่านการรับรองจาก อย.ไทยแล้ว ทำให้การฉีด Rejuran เป็นวิธีดูแลผิวพรรณที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถฟื้นฟูผิวที่แห้งเสีย ทำให้ผิวแข็งแรงดูสุขภาพดี ลดการอักเสบ ลดการเกิดรอยแผล เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูฉ่ำวาวขึ้น สำหรับขั้นตอนการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เห็นผลเร็ว ควรปฏิบัติ ดังนี้
1. การฉีด เพื่อให้เห็นผลเต็มประสิทธิภาพ ควรฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อปี ดังนี้
- กรณีเริ่มฟื้นฟูผิวด้วยการฉีด Rejuran ควรฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นช่วงห่างกันทุก 2-3 สัปดาห์
- ควรฉีดครั้งที่ 4 เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ หลังเว้นช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์
- เพื่อคงผลลัพธ์การฟื้นฟูผิว ควรฉีดครั้งที่ 5 และครั้งต่อ ๆ ไป โดยเว้นช่วง 3-6 เดือน
2. ระยะเห็นผลหลังการฉีด Rejuran มีดังนี้
- ฉีดครั้งที่ 1 ในช่วง 3-5 วันแรก เป็นการฟื้นฟูผิว เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าผิวเรียบเนียน นุ่มขึ้น
- ฉีดครั้งที่ 2 ในช่วง 2-4 สัปดาห์ ผิวจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเห็นผล รูขุมขนเริ่มกระชับขึ้นและริ้วรอยเล็ก ๆ เริ่มลดลง
- ฉีดครั้งที่ 3 ในช่วง 4-6 วัน ผิวจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกผิวดูชุ่มชื้น และยกกระชับขึ้น
- ฉีดครั้งที่ 4 ในช่วง 6-8 วัน เห็นผลลัพธ์โดยรวมชัดเจนขึ้น ผิวยกกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ริ้วรอยลดลง ผิวสุขภาพดี แข็งแรงขึ้นอย่างสมดุล
- ฉีดครั้งที่ 5 และครั้งต่อ ๆ ไป จะเป็นการคงผลลัพธ์ ให้มีผิวที่ฉ่ำวาว สวยเนียนใส
Rejuran (รีจูรัน) ช่วยอะไรบ้าง ?
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องตื้นๆ บนใบหน้าและลำคอ
- ช่วยให้ผิวหน้าใส ผิวอิ่มฟู เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวขาดน้ำ ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ทำให้ผิวดู ฉ่ำเงา ฉ่ำวาว
- ช่วยรักษาหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น ลดขนาดรูขุมขนกว้างให้ดูเล็กลง
- ซ่อมแซมผิวจากภายใน กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่เสื่อมลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น
- ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
- ช่วยเสริมสร้างเกาะป้องป้องกันผิวให้แข็งแรงลดอาการผิวเสียจากแสงแดด ให้ดูสุขภาพดี
ขั้นตอนการฉีดรีจูรัน (Rejuran)
การฉีดรีจูรันจะเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดตัวยาเข้าไปตามจุดสำคัญบนใบหน้า และสามารถเน้นจุดที่คนไข้กังวลเป็นพิเศษ โดยมีขั้นตอน ดังนี้
- แพทย์จะแปะยาชาก่อนฉีด และใช้ระยะเวลาประมาณ 30-60 นาที เพื่อรอให้ยาชาออกฤทธิ์
- หลังจากที่ยาชาออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดยาเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ โดยใช้ปริมาณทั้ง 2 cc/ครั้ง ทั่วทั้งบริเวณใบหน้า
- ใช้เวลาฉีดประมาณ 15-30 นาที
- หลังฉีดอาจมีอาการบวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง
- หลังฉีดแพทย์จะแนะนำให้งดใช้หน้า หรืองดล้างหน้าในช่วง 6 ชั่วโมงแรกหลังทำ
- หลังจากฉีด Rejuran แล้วจะเห็นผลลัพธ์ใน 3-5 วัน
- ผลลัพธ์ของการฉีด Rejuran จะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน ขึ้นอยู่ที่การดูแลผิวหน้าของแต่ละบุคคล
รีจูรัน มีประโยชน์อย่างไร
การฉีดรีจูรัน (Rejuran) ให้มีผิวฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี กำลังเป็นเทรนด์นิยมในประเทศไทย และ รีจูรัน ยังเป็นหัตถการหรือโปรแกรมบำรุงผิว ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ไทย เมื่อปี 2565 ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าสามารถฟื้นฟูช่วยแก้ปัญหาสุขภาพผิวได้อย่างปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์
ประโยชน์ของ รีจูรัน ต่อการบำรุงดูแลสุขภาพผิว มีดังนี้
- รีจูรัน มีสารสกัดมาจากชิ้นส่วนและ DNA ของปลาแซลม่อน ที่มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย และบำรุงผิวให้กระจ่างใสได้อย่างเห็นผล
- การฉีดรีจูรัน ยังช่วยฟื้นฟูใบหน้าในระดับชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว มีออร่า เปล่งปลั่งแข็งแรง และผิวสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ
- กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่เสื่อมลงจากอายุที่มากขึ้น เป็นการซ่อมแซมผิวจากภายใน
- การฉีดรีจูรัน ทำให้เซลล์ผิวมีการฟื้นฟูและสร้างใหม่ เพิ่มความชุ่มชื้นภายในชั้นผิว ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก ลดขนาดรูขุมขนกว้างให้ดูเล็กลง ช่วยรักษาหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น
- เสริมสร้างและป้องกันผิวให้แข็งแรง ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ลดปัญหาผิวเสียจากแสงแดด ให้ผิวกระจ่างใสขึ้นดูสุขภาพดี
- เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว ช่วยให้ผิวหน้าใส ผิวอิ่มฟู
- การฉีดรีจูรัน ช่วยคุมความชุ่มชื้นและความมันของผิว ลดความมันบนใบหน้า
ทำ Rejuran กี่ครั้งถึงเห็นผล?
- แนะนำให้ฉีด 4 ครั้งขึ้นไป ถึงจะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ โดยหลังฉีดจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนประมาณ 4 สัปดาห์ ในระยะแรกเว้นระยะห่างในการฉีด 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถเว้นเป็น 3-6 เดือนได้ เพื่อเป็นการรักษาให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังฉีด Rejuran
- งดแต่งหน้า และล้างหน้าหลังฉีด 24 ชั่วโมง
- รอยแดงจากเข็มจะเริ่มค่อยๆ จางภายใน 2-3 วัน แล้วแต่บุคคล
- หลัง 24 ชั่วโมง สามารถทาครีมบำรุงประเภทช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และทาครีมกันแดด SPF 50 ขึ้นไป
- ประคบเย็น หากมีรอยช้ำ
- ทานยาแก้ปวด หากมีอาการปวดระบม
- หลีกเลี่ยงการใช้มือและนิ้วกดนวดใบหน้าบริเวณที่ฉีด
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและจะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซับตัวยาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ 48 ชั่วโมง
- งดซาวน่าหลังทำ 3 วัน
ข้อควรระวังก่อนฉีด รีจูรัน
การฉีดรีจูรัน เพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมผิว และสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่เสียไป ช่วยให้ผิวแข็งแรงสุขภาพผิวดีขึ้นอย่างเห็นผลลัพธ์ มีข้อควรรู้และข้อควรระวังในการฉีด ดังนี้
- ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs สารยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือดและยกกดภูมิคุ้มกัน ควรหลีกเลี่ยงการฉีดรีจูรัน หรือต้องการทำควรปรึกษาและแจ้งประวัติให้แพทย์ทราบโดยละเอียด
- การฉีดรีจูรัน ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเยื่อบุโพรงหัวใจอักเสบ
- กลุ่มที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลาแซลมอน ไม่แนะนำการฉีดรีจูรัน
- ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดรีจูรัน
- ไม่ควรทำในหญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
- กรณีรับประทานวิตามินประเภท primrose oil, garlic, ginseng หรือ Vitamin E ควรงดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีดรีจูรัน
- หากมีบาดแผลและมีการอักเสบบนใบหน้า ควรรอให้หายดีก่อน
- ก่อนฉีดรีจูรัน ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือขัดหน้า เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบของผิวบริเวณที่จะทำการรักษา
รีจูรัน แพงไหม ราคาเท่าไหร่ ?
รีจูรัน (Rejuran) หัตถการที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้อ่อนเยาว์ แก้ปัญหาริ้วรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ กระชับรูขุมขน และปรับสภาพผิวให้สดใสดูฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี ที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม กระบวนการทำงานของรีจูรัน จะเป็นการเติมสาร Polynucleotide (พลินิวคลีโอไทด์) เข้าไปกระตุ้นโปรตีนบริสุทธิ์ในชั้นผิวหนังแท้ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน เพิ่มความกระจ่างใสของผิวทำให้สีผิวดีขึ้นอย่างเห็นผลลัพธ์ สำหรับราคาการฉีดรีจูรันราคาเริ่มต้นอาจอยู่ที่หลักพัน เช่น 8,000 – 20,000 บาท หรือสูงกว่านี้ โดยแต่ละคลินิกอาจให้บริการในราคาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ต่อไปนี้
- ขึ้นอยู่กับจำนวนยาต่อไซริ้งค์ที่ใช้ฉีดในฉีดแต่ละครั้ง โดยทั่วไปการฉีดบริเวณใบหน้าจะใช้จำนวนยาอยู่ที่ 1-2 ไซริ้งค์
- ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์ในแต่ละคลินิก เพราะรีจูรันเป็นหัตถการที่ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
- คุณภาพของรีจูรัน เนื่องจากรีจูรันแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้มีราคาแตกต่างกันไปด้วย
- การจัดโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก การให้บริการด้านความงามของแต่ละคลินิกอาจมีการจัดโปรโมชั่น เพื่อทำการตลาดอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาการฉีดรีจูรันแตกต่างกันไป
A : Rejuran เป็นโปรแกรมบำรุงผิว หรือเมโสหน้าใส ประเภทหนึ่งในการบำรุงผิวช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว ทำให้ผิวมีการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาสุขภาพผิวต่าง ๆ พร้อมกับช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
A : เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ อักเสบแดง และผู้ที่ต้องการมีสุขภาพผิวที่ดี มีผิวที่สวยใส เปล่งประกาย
A : บริเวณจุดที่มีปัญหาบนผิวหน้า ได้แก่ บริเวณหน้าผาก หัวคิ้ว รอบดวงตา กลางใบหน้า กรอบหน้า และบริเวณรอบริมฝีปาก
A : ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูความแข็งแรงของผิวจากภายใน แก้ปัญหาผิวที่เกิดจากความเสื่อมสภาพตามอายุช่วยให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ และลดเลือนริ้วรอยให้ตื้นขึ้น
A : การฉีด Rejuran ในขั้นตอนการฉีดจะเจ็บเล็กน้อย เนื่องจากตัวยามีความหนืด ระหว่างที่ตัวยากำลังซึมซับเข้าสู่ร่างกายอาจรู้สึกแสบและเจ็บ ก่อนการฉีดแพทย์จะมีการทายาชาให้ก่อน ทำให้ระหว่างที่ฉีดคนไข้บางคนอาจไม่รู้สึกเจ็บเลย
A : โดยทั่วไปการฉีด Rejuran จะเริ่มต้นอยู่ที่ครั้งละ 2 CC หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวพรรณและดุลพินิจของแพทย์ ใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน และควรฉีดจำนวน 4 ครั้ง ห่างกัน 2-3 สัปดาห์
A : การฉีด Rejuran แต่ละครั้ง อยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ควรเข้ารับการฉีดจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน ห่างกันครั้งละ 2-3 สัปดาห์ จะได้ผลผลลัพธ์ที่ดีและยาวนาน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ร่วมด้วย
A : หลังฉีด Rejuran อาจพบรอยแดงและรอยเข็มเล็ก ๆ แต่จะค่อย ๆหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน
A : Rejuran มีส่วนผสมที่มาจากดีเอ็นเอบริสุทธิ์ของปลาแซลมอน ที่มี DNA คล้ายคลึงกับมนุษย์ มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง เนื่องจากสามารถเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ จึงมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่ำมาก หรือบางคนอาจไม่มีเลย
A : หลังฉีด Rejuran ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า อย่างน้อย 24 ชม สามารถเช็ดทำความสะอาดผิว และล้างหน้าได้ตามปกติ ทาครีมบำรุง ดื่มน้ำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
A : การฉีด Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้ปลาแซลมอนหรืออาหารทะเล สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ผู้ที่มีบาดแผลบนใบหน้า ควรรอให้อาการดังกล่าวหายดีก่อนค่อยฉีด รวมทั้งคนที่มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
A : การตรวจสอบ Rejuran ของแท้ มีวิธีตรวจสอบ ดังนี้
1. จะต้องมี Sticker Hologram ที่ข้างกล่องพร้อมกับ QR code ติดอยู่
2. เมื่อทำการ Scan QR code แล้วลิงก์จะพาเราไปหน้าเว็บที่มีโลโก้ของบริษัท เอสดับบลิว เฮลธ์แคร์ จำกัด
3. มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์เลขที่ 65-2-1-001893 ติดอยู่ที่กล่อง
A : ราคาการฉีด Rejuran แต่ละสถานที่จะมีราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับราคาค่าหมอและโปรโมชั่นโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10,000 – 20,000 บาท ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละคลินิก
A : การฉีด Rejuran ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีความปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยมีหลักในการพิจารณา ดังนี้
1. เปิดให้บริการถูกต้องตามกฎหมาย มีเลขใบอนุญาต 11 หลักและมีข้อมูลคลินิกปรากฏบนเว็บของแพทย์สภา
2. มีศัลยแพทย์เป็นผู้ฉีดให้คนไข้เท่านั้น
3. มีรีวิวลูกค้าที่เคยรับบริการแล้วให้ตรวจสอบเพื่อความมั่นใจ
Morpheus8 มิติใหม่แห่งการยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด นวัตกรรมใหม่ Fractional Microneedle RF ซึ่งหัวทิปของ Morpheus 8 จะมีลักษณะเป็นเข็มเล็กๆ จำนวน 24 เข็ม เรียงตัวกัน เมื่อวางลงบนผิวก็จะส่งพลังงาน RF ผ่านหัวเข็มเข้าไปกระตุ้นผิวได้หลายระดับความลึกตามปัญหาคนไข้ ตั้งแต่ระดับ 1 – 4 มิลลิเมตร (Multi Layer Technology) ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวลง ลดชั้นไขมันใต้ผิวหนัง พร้อมทั้งยังช่วยกระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (Dermal Remodeling) และชั้นไขมันใต้ผิว (Subdermal Adipose Remodeling device – SARD) ช่วยยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียน
Morpheus 8 คืออะไร
Morpheus 8 เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ ปรับผิวให้เนียนเรียบ ช่วยจัดการปัญหาผิว ริ้วรอย โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio frequency) ที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นลงได้ลึกหลายระดับของชั้นผิว ผ่านเข็มขนาดเล็กทะลุสู่ชั้นผิวหนัง 1-4 mm ตามชั้นผิวหนังใบหน้าที่ต้องการยกกระชับ โดยการทำงานของเครื่อง จะสามารถปรับระดับความลึกของชั้นผิวที่ต้องการได้ ตั้งแต่ระดับ 1 – 4 มิลลิเมตร โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่เป็นอันตราย ไม่ทำให้เกิดรอยดำหลังทำ
ความแตกต่างจากการยกกระชับด้วยวิธีอื่น Morpheus 8 จะส่งพลังงานคลื่นวิทยุยังทำให้เกิดความร้อนในระดับทำลายชั้นคอลลาเจนบางส่วน กระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ด้วยหัวเครื่องที่มีความเฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นเข็มขนาดเล็ก จำนวน 24 เข็ม เรียงตัวกัน กลไกการทำงานเมื่อวางลงบนผิวก็จะส่งพลังงาน RF ผ่านหัวเข็มเข้าไปกระตุ้นผิวได้หลายระดับความลึก ช่วยให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวลง พร้อมทั้งยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวให้เรียบเนียนได้อย่างเห็นผลลัพธ์
Not found idMorpheus 8 ดีอย่างไร
Morpheus 8 เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา รักษาแผลเป็น กระ จุดด่างดำ และฟื้นฟู ยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำ Morpheus 8 ดีอย่างไร ทำไมเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม
- Morpheus 8 มีหลักการทำงาน โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio frequency) ที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นลงได้ลึกถึงชั้นผิว ในระดับความลึก 4 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า แต่เครื่อง Morpheus 8 สามารถปล่อยพลังงานยกกระชับผิวให้กลับมาตึงกระชับ ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
- เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผล และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานประจำ ไม่ต้องลางาน
- Morpheus 8 แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย จากการหดหัวของชั้นไขมันใต้ผิวส่งผลให้ผิวตึงกระชับ และไม่ทำให้หน้าหรือแก้มดูตอบเกินไป
- สามารถควบคุมระดับความลึกของชั้นผิวหนังได้ ทำให้เห็นผลชัดเจน และตรงจุด
- เป็นหัตถการในการฟื้นฟู และยกกระชับที่สามารถทำได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย
- Morpheus 8 นอกจากช่วยในการยกกระชับแล้ว ยังรักษารอยแผลเป็น และปรับสีผิวที่ไม่เรียบเนียนให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ
- เป็นหัตถการ ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และจะเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังทำครบ 3 เดือน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 – 12 เดือน
- ผิวที่บอบบางได้ ด้วยคุณสมบัติของเครื่อง Morpheus 8 สามารถปรับระดับความลึกตามปัญหาสภาพผิว จึงปรับการรักษาได้เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพผิวที่มีความแตกต่างกัน รวมทั้งผิวแพ้ง่าย
- การยกกระชับด้วยเครื่อง Morpheus 8 แตกต่างจากการยกกระชับวิธีอื่น ๆด้วยหัวเครื่องที่มีความเฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นเหมือนเข็มเล็ก ๆ เรียงตัวกัน เมื่อวางลงบนผิวก็จะส่งพลังงานผ่านหัวเครื่องเข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อด้านในที่ส่วนของชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการเรียงตัวใหม่ ซึ่งหัวเครื่องมอร์เฟียสเอทจะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วไม่นำมาใช้ซ้ำ ทำให้มีความปลอดภัยสูง
- ดูแลโดยแพทย์ เนื่องจากเครื่อง Morpheus 8 เป็นเทคโนโลยีตัวที่สามารถปรับค่าพลังงานได้ การรักษาแต่ละบริเวณต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ เพราะจะได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ตามความต้องการและมีประสิทธิภาพที่สุด
ประโยชน์ของ Morpheus 8
- กระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (Dermal Remodeling)
- ช่วยให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดการหดตัว (Subdermal Adipose Remodeling (SARD) หน้าเรียว V Shape -ช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย
- กระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการสร้าง Hyaluronic Acid ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ผิวฟู อ่อนเยาว์
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย
- รักษารอยแผลเป็น และผิวที่ไม่เรียบเนียน
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
Morpheus 8 เหมาะสำหรับใคร
Morpheus 8 นวัตกรรมการยกกระชับ ที่ช่วยลดริ้วรอย รักษารอยแผลเป็น และปรับผิวให้เรียบเนียน ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากกระบวนการทำงานของเครื่องจะส่งพลังงานคลื่นวิทยุผ่านหัวเข็มขนาดเล็กลงสู่ชั้นผิวหนัง Morpheus 8 จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้มีปัญหา ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิวจนทำให้ดูแก่กว่าวัย
- ผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็น หรือผิวไม่เรียบเนียน
- ผู้มีปัญหาริ้วรอยทั้งลึกและตื้น ที่ต้องการปรับผิวหรือลดเลือนริ้วรอยให้ เรียบเนียนยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ต้องการปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
Morpheus 8 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
Morpheus 8 คือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้าง HA หรือ กรดไฮยาลูรอนิค ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู ช่วยลดรอยยับและยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และสามารถใช้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ก้นและเข่า นอกจากนั้น Morpheus 8 ยังเป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่สามารถส่งพลังงานจากคลื่นวิทยุเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกที่สุด เพื่อช่วยในเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้
- กระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (Dermal Remodeling) จากการปล่อยพลังงานเข้าสู่ผิวลึกประมาณ 3 mm ซึ่งเป็นชั้นหนังแท้
- ช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย ช่วยให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดการหดตัว เมื่อปล่อยพลังงานเข้าสู่ผิวลึกประมาณ 4 mm ซึ่งเป็นชั้นไขมัน
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ นุ่มฟู เพราะพลังงานความร้อนจาก Morpheus 8 ที่เข้าสู่ผิวจะทำให้คอลลาเจนที่หย่อนคล้อยจัดเรียงตัวใหม่ ผลลัพธ์ช่วยนกกระชับ ทำให้มีสุขภาพผิวที่ดี
- แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด จากการหดหัวของชั้นไขมันใต้ผิวส่งผลให้ผิวตึงกระชับ และไม่ทำให้หน้าหรือแก้มดูตอบเกินไป
- กระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการสร้าง Hyaluronic Acid ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ผิวฟูอ่อนเยาว์
- Morpheus 8 เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้ จากการปรับระดับความลึกให้เหมาะกับผิวบอบบางบริเวณรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี
- ช่วยรักษารอยแผลเป็น และปรับสีผิวที่ไม่เรียบเนียนให้สีผิวสม่ำเสมอ
ผลลัพธ์หลังทำ Morpheus 8
ช่วยยกกระชับได้อย่างตรงจุด ทั่วใบหน้าและลำคอ เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผลจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังทำครบ 3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 – 12 เดือน
Morpheus 8 ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
แนะนำทำการรักษา 3 ครั้ง ห่านกันทุกๆ 3-6 สัปดาห์ หลังจากครบคอร์สการรักษา แนะนำเข้ามาทำทุก 6 เดือน หรือตามที่แพทย์ผู้รักษาประเมิน
Belotero Revive คืออะไร
Belotero Revive หรือฟิลเลอร์กล่องเขียว คือฟิลเลอร์ งานผิวตัวแรกและตัวเดียวของโลก ฟิลเลอร์แท้จากบริษัท Merz Aesthetics. Thailand ซึ่งเป็นฟิลเลอ์รุ่นล่าสุดที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นฟิลเลอร์ตัวแรกของโลกที่เพิ่มส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว บำรุงผิว เพื่อเกิดผลลัพธ์ผิวสุขภาพดีขั้นสุด 4 ประการ ผิวใสโกลว์ เรียบเนียนอิ่มฟู เด้งนุ่ม ชุ่มชื้นฉ่ำวาว มีคุณสมบัติเหมาะกับผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ผิวขาดความยืดหยุ่น และความกระชับ รวมถึงมีปัญหาริ้วรอยหรือร่องชนิดตื้นบนใบหน้า ด้วยคุณสมบัติเติมน้ำให้ผิว และกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าอย่างเต็มขั้น
Belotero Revive เกิดจากการผสาน 2 เทคโนโลยีที่ทำงานผสมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) จะช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน และส่วนประกอบอื่น ๆ ให้เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ผิวดูเปล่งปลั่ง เรียบเนียน
- กลีเซอรอล (Glycerol) ตัวนี้คือตัวเด่นเลยที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว การทำงานของเทคโนโลยีนี้จะทำงานโดยดูดซึมน้ำจากชั้นผิวหนังแท้ถึงชั้นสตราตัม คอร์เนียม ให้ความชุ่มชื้น จากภายในสู่ภายนอก และช่วยให้กรดไฮยาลูโรนิกทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ในการกักเก็บความชุ่มชื้นได้นาน เพิ่มเกราะป้องกันให้ผิวไม่หมองคล้ำจากแสงแดด
ฟิลเลอร์ Belotero มีที่มาอย่างไร
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มที่ช่วยเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหาบนใบหน้า ช่วยเพิ่มความกระชับ พร้อมเติมความชุ่มชื้นสู่ผิว ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการอุ้มน้ำ ทำให้สามารถแก้ไขริ้วรอย ร่องลึก บริเวณใบหน้าให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเห็นผลลัพธ์
ฟิลเลอร์ Belotero คือหนึ่งในฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic acid ผลิตจากประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ และถูกซื้อโดยบริษัท Merz ของเยอรมันเจ้าของลิขสิทธิ์เครื่อง Ulthera หรืออัลเธอร่า ซึ่งฟิลเลอร์ตระกูล Belotero ถูกผลิตขึ้นมาเป็นรุ่นย่อย ๆ มีหลายรุ่นหรือหลายชนิด เพื่อใช้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุดมากที่สุด ปัจจุบัน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มแพทย์ผิวหนังและความงามทั่วโลก นำมาใช้แก้ไขเติมเต็มส่วนบกพร่องกับปรับรูปหน้า
สำหรับประเทศไทย ฟิลเลอร์ Belotero ได้รับความนิยมอย่างมาก นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetic Thailand ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องโดย อย. สหรัฐอเมริกา ยุโรปและไทย จึงสามารถมั่นใจได้ว่าฉีด ฟิลเลอร์ Belotero ได้อย่างปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่สวยตรงใจตามที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ Belotero revive เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าโทรม ผิวแห้งกร้านขาดน้ำ ดูไม่สดใส
- ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องชนิดตื้น หรือรอยหลุมสิวตื้น ๆ
- ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน แต่งหน้าไม่ติด
ฟิลเลอร์ Belotero Revive เหมาะกับฉีดส่วนไหน ?
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ belotero revive จะเหมาะกับการฉีดผิวชั้นตื้น หรือชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อทำให้ผิวอวบอิ่ม เน้นงานผิว ช่วยผิวดูสวยโกลว์ ดังนั้นตำแหน่งที่เหมาะฉีดฟิลเลอร์ belotero revive ได้แก่
- ทั่วผิวหน้าช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ เรียบเนียน เบลอรูขุมขน
- รอบดวงตา ช่วยให้ใต้ตาชุ่มชื้น ใต้ตาดูสดใส
หลังฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive มีผลข้างเคียงไหม ?
ฟิลเลอร์ Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตั้งแต่ชั้นหนังแท้ไปถึงผิวหนังชั้นนอกสุด เมื่อฉีดเข้าไปจึงทำให้ผิวดูโกลว์ ใสเนียนเด้ง ช่วยให้ผิวอิ่ม เรียบเนียน กระชับ คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้า และยังเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่ผ่าน อย.ยุโรป อเมริกา และไทย
ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- หลังฉีด ฟิลเลอร์ Belotero Revive ในช่วงแรกอาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันในจุดที่ฉีด ถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรหลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือกด
- เกิดรอยเข็ม รอยจ้ำแดง หรือรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 3-4 วัน
- ผิวไม่เรียบ หรือเกิดเป็นรอยนูน เมื่อคลำจะสัมผัสก้อนเล็ก ๆ ตามผิวหนังโดยจะเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังฉีด สาเหตุเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไปในแต่ละจุด หรือเทคนิคที่ฉีดตื้นเกินไป แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการแพ้ชนิดไม่รุนแรง เช่น มีอาการผิวหนังอักเสบบริเวณที่ทำการฉีด ลักษณะ เป็นๆหายๆ
ผลข้างเคียงที่รุนแรง หากพบอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย และทำการรักษา
- มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษแบบรุนแรง อาจพบในผู้ที่มีประวัติแพ้สาร ไฮยาลูรอน หรือ ยาชาที่อยู่ในส่วนผสมของฟิลเลอร์
- การติดเชื้อหลังจากฉีดฟิลเลอร์ จะมีอาการ ปวด บวม ร้อน มีตุ่ม ผิวแดง มีก้อนหนองบริเวณที่ฉีด
หลังเติมฟิลเลอร์งานผิว Belotero Revive ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อแก้ไขความบกพร่องต่าง ๆ ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ทำให้ผิวดูชุ่มชื้น สำหรับฟิลเลอร์งานผิว คือรุ่นของฟิลเลอร์แบรนด์ Belotero ที่ผ่าน อย.ยุโรป อเมริกา และไทย มีคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องการเพิ่ม Skin Quality ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น เด้งกระชับ ผิวหน้ามีความฉ่ำวาว ผลลัพธ์หลังเติมฟิลเลอร์งานผิว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ทันที ด้านความชุ่มชื้นของผิว ผิวใส ฉ่ำวาว หลังฉีดผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9 เดือน และช่วยให้ผิวกระชับ มีความยืดหยุ่น นานถึง 7 เดือน
วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้ BELOTERO เช็กยังไงนะ?
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถด้านดูแลผิวพรรณ และการลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และมีความปลอดภัย ควรตรวจเช็กฟิลเลอร์แท้ และเลือกฟิลเลอร์ของแท้ได้มาตรฐานผ่าน อย.ไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยม ดังนี้
ฟิลเลอร์ของแท้ ได้มาตรฐานผ่าน อย.ไทย
1. Juvederm ฟิลเลอร์อเมริกา มีส่วนผสมของยาชา หลังฉีดแลดูเป็นธรรมชาติได้ผลลัพธ์ที่ดี และฟิลเลอร์ Juvederm ที่ผ่านอย. ในไทยมีทั้งหมดด้วยกัน 7 รุ่น ได้แก่
- Juvederm Voluma\
- Juvederm Volift
- Juvederm Volite
- Juvederm Volbella
- Juvederm Volux
- Juvederm Ultra Plus XC
- Juvederm Ultra XC
2. ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย.สัญชาติสวีเดน และมีรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบ รับรองจากอย. ไทย ได้แก่
- Restylane
- Restylane Lyftฃ
- Restylane Refyne
- Restylane Defyne
- Restylane Kysse
- Restylane Silk
3. Yvoire filler เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. จากประเทศเกาหลีใต้ รุ่นต่าง ๆของฟิลเลอร์ Yvoire ที่ผ่านอย. ไทย ได้แก่
- Yvoire Classic Plus
- Yvoire Contour
- Yvoire Volume Plus
4. E.P.T.Q Filler ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีใต้ รุ่นที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากอย.ไทย ได้แก่
- E.P.T.Q S 100
- E.P.T.Q S 300
- E.P.T.Q S 500
วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้
- มีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
- มีฉลากภาษาไทยระบุ ราคา วันหมดอายุ ไว้ที่บริเวณกล่องผลิตภัณฑ์ชัดเจน
- สามารถโทรตรวจสอบเลข Lot และคลินิกกับบริษัทนำเข้าฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อได้
- กล่องมี 2 cc และเลข lot ต้องตรงกัน 4 จุด คือ เลข lot ที่กล่อง เลข lot ที่ซอง เลข lot ที่สติกเกอร์ และ เลข lot ที่หลอด
หลังฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive มีผลข้างเคียงไหม ?
ฟิลเลอร์ Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตั้งแต่ชั้นหนังแท้ไปถึงผิวหนังชั้นนอกสุด เมื่อฉีดเข้าไปจึงทำให้ผิวดูโกลว์ ใสเนียนเด้ง ช่วยให้ผิวอิ่ม เรียบเนียน กระชับ คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้า และยังเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่ผ่าน อย.ยุโรป อเมริกา และไทย
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
- หลังฉีด ฟิลเลอร์ Belotero Revive ในช่วงแรกอาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันในจุดที่ฉีด ถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรหลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือกด
- เกิดรอยเข็ม รอยจ้ำแดง หรือรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 3-4 วัน
- ผิวไม่เรียบ หรือเกิดเป็นรอยนูน เมื่อคลำจะสัมผัสก้อนเล็ก ๆ ตามผิวหนังโดยจะเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังฉีด สาเหตุเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไปในแต่ละจุด หรือเทคนิคที่ฉีดตื้นเกินไป แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการแพ้ชนิดไม่รุนแรง เช่น มีอาการผิวหนังอักเสบบริเวณที่ทำการฉีด ลักษณะ เป็นๆหายๆ