Sculptra เรียกว่า PLLA หรือ Poly-L-Lactic acid ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาและถูกใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1999 เป็นสารสังเคราะห์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิวเพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้า โดยการฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว เป็นการเรียกเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า แมคโครฟาจ มาช่วยในการทำงาน ทำให้คืนความอ่อนเยาว์อย่างป็นธรรมชาติ ซึ่งจะคงปริมาตรได้ดีกว่า Hyalyronic Acid ทั่วไป โดยสลายตัวช้ากว่าทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานมากกว่า

Sculptra คืออะไร

Sculptra คืออนุภาคของกรด PLLA หรือ Poly-L-Lactic-Acid จัดอยู่ในกลุ่มของ Collagen Biostimulator ที่มีความสามารถในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังของมนุษย์แบบธรรมชาติ สามารถฉีดเข้าไปในตำแหน่งเฉพาะใต้ชั้นผิวหนัง และกระจายไปทั่วผิว และ Sculptra ยังเป็นสารสังเคราะห์จากพืชตัวแรกและตัวเดียวในโลก ที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย

สำหรับ Sculptra นั้นเป็นการใช้สาร PLLA หรือ Poly-L-Lactic acid ซึ่งเป็น Biostimulator ตัวแรก ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาและถูกใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1999 ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นสารสังเคราะห์จากพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว เพื่อยกกระชับและลดริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น

PLLA เป็นสารที่ปลอดภัย และใช้มานานในทางการแพทย์ สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย ใช้ในการผลิตเป็นไหมละลาย เป็นน็อต หรือ แผ่นเพลท ที่ใช้ในการยึดกระดูกด้วย และสารตัวนี้ก็ผ่านการตรวจสอบ และอนุมัติให้ใช้งานได้ทั่วโลก จึงมั่นใจได้ว่า สารตัวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และผิวหนังของเรา

Sculptra ช่วยในการกระตุ้น collagen type 1 เป็นหลัก โดยจากผลการวิจัยพบว่า Sculptra จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิต Collagen type1 สูงถึง 66.5% 

การทำงานของ Sculptra เมื่อฉีดเข้าไปในผิวหนังแล้วจะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นฟื้นฟูการสร้างคลอลาเจน ทำให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน กระชับ ลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผลลัพธ์ จากนั้นจะค่อยๆ สลายไป ปริมาณของ Sculptra ที่จะต้องใช้จะขึ้นอยู่กับช่วงอายุของผู้รับบริการ การฉีด Sculptra จะเป็นการฉีดเดือนละ 1 ครั้ง โดยแบ่งการฉีดออกเป็น 2 -3 Session ขึ้นอยู่กับผู้รับบริการต้องการใช้ ผลลัพธ์หลังฉีดมีระยะเวลาประมาณ 2 ปี

Sculptra คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ได้อย่างไร

การทำงานของ Sculptra หน้าที่หลักคือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามกระบวนการธรรมชาติแล้ว โดยส่วนประกอบที่เป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากธรรมชาติ ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกา มีการจดสิทธิบัตรในเรื่องของกระบวนการผลิต และนำไปใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1999 ในรูปแบบผง บรรจุอยู่ในขวด กระบวนการคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวได้แก่

  • แพทย์จะทำการฉีด Sculptra ในตำแหน่งที่ต้องการ เช่น ขมับ หน้าแก้ม ใต้โหนกแก้มด้านข้าง การฉีดจะต้องผสม sterile water ก่อนฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึก Subcutaneous เพื่อฟื้นฟูผิวระดับลึก
  • ผิวจะถูกเติมเต็มทันทีหลังฉีด Sculptra จากปริมาตรน้ำที่ฉีดเข้าไป ช่วยเติมเต็ม ยกกระชับใบหน้า
  • การฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวชั้นลึก (Subcutaneous) ตัวยาจะกระจายไปตามจุดสำคัญช่วยในการยกกระชับใบหน้าได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งเติมเต็มช่องว่างที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส
  • ผลลัพธ์หลังการฉีด Sculptra ไม่สามารถเห็นผลได้ทันที เนื่องจากตัวยาจะค่อย ๆ เข้าไปทำปฏิกิริยาในใต้ชั้นผิวลึก ทำให้จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังการฉีดประมาณ 2-3 สัปดาห์ และสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปีเมื่อฉีดครบโดสที่แพทย์แนะนำ

การฉีด Sculptra เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวเริ่มสูญเสียคอลลาเจน หรือผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนออกมาได้น้อยลง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
  • ผิวขาดความยืดหยุ่น และมีริ้วรอยจากอายุที่มากขึ้น
  • ผู้ที่ผิวมีริ้วรอยเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากขาดการบำรุงและดูแล
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว มีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์
  • ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าขาด volume ทำให้หน้าดูตอบ ดูโทรม ไม่สดใส

Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง

Sculptra เป็นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อย ให้ยกกระชับ คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แต่การฉีดให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยการตรวจสุขภาพผิวและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนจำนวนครั้งในการฉีดอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสุขภาพผิวและลักษณะปัญหาผิวพรรณ เช่น การมีริ้วรอยจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับเนื่องจากผิวขาดการบำรุงดูแล หรือเป็นผู้ที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ ในกลุ่ม Hyaluronic acid ต้องการการฉีด Sculptra เพื่อฟื้นฟูผิว สำหรับปริมาณการฉีดและจำนวนครั้งในการฉีดที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีด Sculptra ควรฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้งในช่วงแรกเพื่อปรับสภาพผิว
  • กรณีมีปัญหาผิวมาก แพทย์ประเมินแล้วอาจจะต้องฉีดประมาณ 3 ครั้ง  โดยฉีดห่างกัน 4-6  สัปดาห์ต่อครั้ง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิว หรือมีริ้วรอยความหย่อนคล้อยไม่มาก ปริมาณการฉีดที่เหมาะสมครั้งละ 1 ขวด ต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง ระยะเวลาห่างกันครั้งละ 1 เดือน
Not found id
ปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาความงาม

ข้อดีของการฉีด Sculptra

การฉีด Sculptra มีคุณสมบัติที่โดดเด่นได้แก่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งคอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อผิว เนื่องจากทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นการสร้างคอลลาเจนลดน้อยลง ก็จะส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง และเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ง่าย การฉีด Sculptra จึงมีข้อดี ดังนี้

  1. การฉีด Sculptra จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูผิวชั้นลึกและปรับโครงสร้างผิวจากภายในให้แข็งแรง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  2. ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ช่วยชะลอวัย ลดอัตราการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิว
  3. ลดริ้วรอย เติมเต็มกระชับใบหน้าให้ดูอ่อนวัยอยู่เสมอ
  4. ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างชั้นลึกใต้ผิว ให้มีความแข็งแรง กระชับ ลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย
  5. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ช่วยบำรุงผิว เพิ่มความขาวกระจ่างใสให้กับผิว
  6. ช่วยให้ผิวชั้นลึกมีความชุ่มชื้น ใบหน้าดูกระชับ เต็งตึง คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า
  7. ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด
  8. ผลลัพธ์หลังการฉีด Sculptra จะอยู่ได้นานกว่า ได้นานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี
  9. มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Sculptra เป็น Collagen stimulator ตัวแรกของโลก และเป็นตัวเดียวที่ผ่านการรับรองจาก U.S.FDA มีการจดสิทธิบัตรในเรื่องของกระบวนการผลิต และนำไปใช้ทั่วโลก
  10. หลังการฉีด แม้จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีแต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน้าจะดูไม่แข็งแต่ให้ความเป็นธรรมชาติมาก

Sculptra ทำงานอย่างไร ?

Sculptra สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับ ช่วยปรับผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน โดยไม่เป็นอันตรายหรือมีผลข้างเคียงใด ๆ และยังเป็นสารตัวแรกที่ได้นับการอนุมัติในการใช้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจาก US FDA ตั้งแต่ปี 1999 ปัจจุบันนิยมใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก หลักการทำงานของ Sculptra 

  1. Sculptra จะอยู่ในรูปแบบผง PLLA Powder บรรจุอยู่ในขวด ก่อนฉีด Sculptra แพทย์จะผสมด้วย Sterile water
  2. หลังฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวชั้นลึก ตัวยาจะกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ไปตามจุดสำคัญที่ต้องการยกกระชับใบหน้า และเติมเต็มช่องว่างที่ทำให้ผิวเกิดรอยพับหรือริ้วรอย
  3. Sculptra ทำงานผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาส (Macrophage) เข้ามาเหนี่ยวนำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
  4. หลังฉีดในช่วง 2-3 วันแรก ผิวบริเวณที่ฉีดจะดูเต็มอิ่มฟูทันทีจากโมเลกุลน้ำที่ฉีด หลังจากนั้นน้ำจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
  5. เมื่อเวลาผ่านไป Sculptra จะค่อย ๆ สลายจนหมด เหลือเพียงเส้นใยคอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้นแทน สามารถช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ช่วยยกกระชับ และฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพดีได้ระยะยาว และคงผลลัพธ์ได้ประมาณ 2 ปี

Sculptra ช่วยเรื่องอะไร

  • Sculptra ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว
  • Sculptra ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส
  • Sculptra ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  • Sculptra กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนคืนความอ่อนเยาว์

ผลลัพธ์หลังการฉีดไม่สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที เพราะตัวยาของ Sculptra จะค่อย ๆ เข้าไปทำปฏิกิริยาในใต้ชั้นผิวลึก ทำให้จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังการฉีดประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะมีอาการบวมประมาณ 2-3 วันก่อนจะสังเกตผลลัพธ์ได้ชัดเจน และสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปีเมื่อฉีดครบโดสที่แพทย์แนะนำ

ฉีดแล้ว Sculptra อยู่ได้นานเท่าไร

สำหรับการฉีด Sculptra เพื่อต้องการยกกระชับผิว ต้องการผิวแน่นอิ่มฟู และฟื้นฟูเซลล์ผิว ลดรอยดำ รอยแดง สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า ทั้งบริเวณ หรือบริเวณผิวที่เหี่ยวย่น โดยหลังฉีด Sculptra เข้าไปในชั้นผิวแล้ว จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในร่างกายตามธรรมชาติ จากผลการวิจัยระบุว่า Sculptra สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน Type 1 เพิ่มมากขึ้นสูงถึง 66.5% หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน ในส่วนของผลลัพธ์หลังการฉีด จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2-3 สัปดาห์ เมื่อฉีดครบ 3 ครั้ง จะอยู่ได้นานถึง 12 เดือน

วิธีการดูแลหลังฉีด Sculptra

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะลดลง ปัญหาผิวพรรณและริ้วรอยความหย่อนคล้อยก็จะเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน การฉีด Sculptra เป็นนวัตกรรมการฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเรียบเนียน และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้แก่ผิว เป็นการฟื้นฟูสภาพผิวจากโครงสร้างภายใน หลังฉีดสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพหลังฉีด Sculptra มีวิธีดูแลตนเอง ดังนี้

  1. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
  2. หลีกเลี่ยง หรืองดเว้นการโดนความร้อน เช่น การอบซาวน่า การอบไอน้ำ
  3. งดเว้นการทาครีมบริเวณรอยเข็ม หรือการแต่งหน้าบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  4. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้ง และการสัมผัสแสงแดดและแสงยูวี
  5. ควรงดทำหัตถการอื่น ๆ หลังฉีดประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
  6. นวดบริเวณที่ฉีดทันทีเพื่อให้ตัวยาซึมเข้ากับผิว และกระจายตัวอย่างทั่วถึง โดยใช้หลักการนวด Triple 5 นวดครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง และทำติดต่อกัน 5 วัน มีขั้นตอน ดังนี้
    • เริ่มจากการกำมือแล้วยกนิ้วโป้งขึ้น ใช้นิ้วโป้งนวดบริเวณขมับนวดทั้ง 2 ข้างพร้อมกับเลื่อนกำปั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ จากหน้าผากไปถึงไรผมทางด้านข้างขมับ
    • กำมือทั้งสองข้าง ชูนิ้วโป้งขึ้น จากนั้นใช้นิ้วโป้งนวดบริเวณแก้มค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าแก้มออกไปทางด้านข้างของแก้ม โดยที่ยังนวดอยู่ไม่หยุด
    • ใช้อุ้งมือหรือกำปั้นกดบริเวณช่วงแก้มค่อย ๆ นวดขึ้นไป จากบริเวณแก้มจนถึงโหนกแก้มทำซ้ำไปมาหลาย ๆ รอบ
    • กำมือทั้งสองข้าง ชูนิ้วโป้งขึ้น ใช้นิ้วโป้งนวดจากบริเวณคางไปยังกรามค่อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ ออกไปทางด้านข้างของใบหน้า

ข้อควรระวังในการฉีด Sculptra

Sculptra โปรแกรมฟื้นฟูคอลลาเจนให้ผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหลวม หย่อนคล้อย ผิวยืดย้วยไม่กระชับ โดยหลังการฉีดจะช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ทำให้ผิวแน่นอิ่มฟู และยกกระชับบริเวณผิวหย่อนคล้อย ปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น แต่การ ฉีด Sculptra ให้มีความปลอดภัย รวมทั้งได้ผลลัพธ์ที่ดี มีข้อควรระวังในการฉีด ดังนี้

  1. การฉีด Sculptra จะต้องฉีดใต้ชั้นผิวหนังอย่างถูกต้องด้วยเทคนิคเฉพาะ และต้องใช้เข็ม Canula เฉพาะในการฉีดเท่านั้น
  2. แพทย์ผู้ฉีดต้องมีความชำนาญ ซึ่งพิจารณาได้จากการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และจดทะเบียนได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
  3. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่ประวัติแพ้ PLLA หรือมีประวัติเคยแพ้ยาชนิดรุนแรง
  4. ไม่ควรฉีด Sculptra ในผู้ที่มีประวัติการเกิดคีลอยด์หรือมีแผลเป็นนูน
  5. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเกิดการอักเสบในตำแหน่งที่ต้องการฉีด
  6. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ให้นมบุตร

ฉีด Sculptra ที่ Meko Clinic ดีอย่างไร

  • เป็นศูนย์ศัลยกรรมความงามที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ และให้บริการครอบคลุม “สวย ครบ จบในที่เดียว” โดยไม่ต้องเสียเวลา
  • ให้คำแนะนำปรึกษาและให้ข้อมูลรายละเอียดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจมารับบริการอย่างใกล้ชิด
  • ก่อนการฉีด Sculptra แพทย์จะให้คำปรึกษาและวิเคราะห์ใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
  • จดทะเบียนถูกต้องตามมาตรฐาน และมีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผ่านการทำความสะอาดปลอดเชื้อและได้รับการดูแลอย่างดี
  • ทีมแพทย์มีรายชื่อเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง” ในฐานข้อมูลเว็บไซต์ของแพทยสภา และสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย หรือ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย
Q : Sculptra คืออะไร

A : Sculptra คือ สารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีด ที่ประกอบด้วยไหมน้ำชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นหนึ่งใน สารกระตุ้นคอลลาเจน ที่เรียกว่า Biostimulator ช่วยกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเอง ได้ถึง 66.5% เติมเต็ม ยกกระชับใบหน้า ฟื้นฟูผิว ได้นานถึง 2 ปี เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัย ผ่าน US FDA และผ่านการฉีดจริงมาแล้วจากอเมริกา นานถึง 20 ปี

Q : การฉีด Sculptra  ช่วยฟื้นฟู รักษาผิวหนัง และ ลดริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนแลดูอ่อนเยาว์ ได้อย่างไร

A : เมื่อฉีด Sculptra  เข้าสู่ใต้ผิวหนังเป็นการฟื้นฟูสภาพผิวจากผิวชั้นลึก เพราะส่วนประกอบ ได้แก่ สารกลุ่ม Biostimulator จะออกฤทธิ์ในการกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้ผลิตคอลลาเจน โดยสามารถกระตุ้นคอลลาเจน type 1 ได้ถึง 66.5% หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง คุณสมบัติของคอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในผิวหนังของคนเรา และมีสัดส่วนที่มากถึง 75 % หน้าที่หลักคือเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิว คงความเต่งตึง มีความแข็งแรงและยกกระชับ

Q : การฉีด Sculptra  ช่วยเรื่องใด

A : 1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
2. ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์
3. ฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง
4. ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น คงความเต่งตึง ให้กับผิว
5. ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และทำให้ผิวเรียบเนียน
6. ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูสดใสและมีความชุ่มชื่นมากขึ้น

Q : การฉีด Sculptra  กี่วันเห็นผล

A : หลังการฉีด แม้จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีแต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มเห็นผลสัปดาห์ที่ 3 และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 3 เดือน

Q : การฉีด Sculptra  อยุ่ได้นานแค่ไหน

A : 1. การฉีด Sculptra  หากฉีดเพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 – 4 เดือน
2. กรณีฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 2- 3 ครั้งเพื่อปรับสภาพผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 24 เดือน หรือ 2 ปี

Q : ฉีด Sculptra ที่เมโกะ คลินิก ดีอย่างไร

A : 1. เมโกะ คลินิก เป็นสถานประกอบการที่ปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ และจดทะเบียนถูกต้องตามมาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข
2. ฉีด Sculptra ที่เมโกะ คลินิก เป็นการทำหัตถการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านการปรับรูปหน้า
3. ก่อนการฉีด Sculptra แพทย์จะให้คำปรึกษาและวิเคราะห์ใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
4. เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผ่านการทำความสะอาดปลอดเชื้อและได้รับการดูแลอย่างดี
ทีมแพทย์มีรายชื่อเป็น “แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านการปรับรูปหน้า” สามารถตรวจสอบฐานข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา และสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

เชื่อว่าความหย่อนคล้อยรวมทั้งริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย เป็นปัญหาความสวยความงามบนใบหน้าที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงทุกคน แม้จะมีการบำรุงดูแลผิวพรรณอย่างดี เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นร่างกายสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ง่าย ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) เป็นการทำศัลยกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุด

ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) คืออะไร?

https://www.youtube.com/watch?v=O-_HxsSlxfE&t=22s

ผ่าตัดดึงหน้า หรือ Facelift คือการศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า เพื่อยกกระชับและแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่น ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและได้รับความนิยม โดยเป็นการตัดผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนคล้อยออกแล้ว แล้วตัดแต่งหนังส่วนเกินออก จากนั้นเย็บเก็บแผลดึงกระชับให้ตึงทั้งสองชั้นหรือมากกว่านั้น คือ ชั้นผิวหนัง และ ชั้นกล้ามเนื้อ SMAS หรือกล้ามเนื้อบาง ๆ ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งการผ่าตัดดึงหน้าจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าการยกกระชับด้วยวิธีอื่น ฟื้นตัวไว อยู่ได้นาน สามารถคืนความอ่อนวัยให้ใบหน้าได้อย่างเห็นผลลัพธ์ และดูเป็นธรรมชาติ

Not found id
ปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาความงาม
https://www.youtube.com/watch?v=vc2UjeXUyAw&list=PLrjbQwV4Bi4M_DWwfAMV-Xf3vyVlkp1nU&index=2&t=8s

ใบหน้าแบบไหน ที่เหมาะกับผ่าตัดดึงหน้า

ปัจจุบัน การผ่าตัดดึงหน้า เป็นศัลยกรรมความงามที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ทำให้เกิดนวัตกรรมและเทคนิคใหม่ ๆ แม้ความหย่อนคล้อยของใบหน้าจะมีหลายระดับ ก็

สามารถเลือกดึงได้ตามสภาพผิวหน้า อาจจะดึงหน้าเฉพาะจุดหรือบางส่วน หรือศัลยกรรมดึงหน้าทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน ดังนี้

  1. ผู้ที่มีปัญหารอยตีนกา รอยย่นบนผิวหน้า หางตาไม่เท่ากัน
  2. ผู้ที่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า เพื่อลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามวัย 
  3. ผู้ที่มีปัญหารอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผากอย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าแลดูแก่กว่าวัย
  4. ผู้ที่มีปัญหาเหนียงบริเวณลำคอ ช่วงลำคอมีเนื้อมากและหย่อนคล้อย 
  5. ผู้ที่มีปัญหาจากการลดน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักวิธีหลังน้ำหนักลดส่งผลให้แก้มหย่อนและห้อย ผิวหน้าไม่กระชับ
  6. ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปต้องการปรับโครงหน้าเพื่อเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี 

ประโยชน์ของการ ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift)

  1. การผ่าตัดดึงหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะบนใบหน้าได้มากกว่าและถาวรกว่าวิธีอื่น
  2. ผ่าตัดดึงหน้า Facelift มีความปลอดภัย ใช้เวลาไม่มาก
  3. สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิว ได้อย่างครอบคลุมทุกส่วนบนใบหน้า
  4. สามารถเลือกตำแหน่งในการดึงหน้าได้ เช่น เลือกผ่าตัดดึงหน้าเฉพาะจุด หรือเลือกทำหลายจุดไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ บนใบหน้า โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศัลยแพทย์
  5. การผ่าตัดดึงหน้า เป็นศัลยกรรมที่ช่วยลดอายุให้ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงได้มากกว่าวิธีอื่น
  6. สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยที่มีมาก ได้ดีกว่า

ประโยชน์ของการ ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift)

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดดึงหน้า 

  1. เลือกคลินิกที่จดทะเบียนถูกต้อง และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
  2. แจ้งประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับ โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ยาที่รับประทานเป็นประจำ
  3. งดรับประทานยาหรือวิตามิน และอาหารเสริมทุกชนิด ที่มีผลทำให้เลือดย่างน้อย 4สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
  4. งดการทำ Botox หรือ Filler บริเวณใบหน้า ช่วงระยะ 6 เดือนก่อนศัลยกรรมดึงหน้า
  5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้แผลหายช้าและยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  6. หลีกเลี่ยง หรืองดการทำ Laser ร้อยไหมบริเวณใบหน้า ในช่วง 3 เดือนก่อนดึงหน้า
  7. งดการแต่งหน้าก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  8. งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสำลักอาหารโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากการผ่าตัดจำเป็นต้องวางยาสลบ
  9. วันผ่าตัดควรมีเพื่อน หรือญาติมาดูแล มาเป็นเพื่อน

อาการหลังผ่าตัดดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้า แม้จะเป็นการผ่าตัดเล็กแต่ก็ทำให้เกิดรอยแผล หลังผ่าตัดดึงหน้าจะมีอาการบวม ตึง ชา บริเวณที่ดึง และอาจมีอาการปวดเล็กน้อย รวมทั้งมีอาการบวมช้ำในช่วง 1-3 วันแรก หลังจากนั้นอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงและหายเป็นปกติ สำหรับผลลัพธ์การผ่าตัดดึงหน้าเห็นผลชัดเจนเต็มที่ประมาณ 1 ปี ซึ่งผลลัพธ์หลังจากศัลยกรรม จะคงอยู่ได้ยาวนาน 5-10 ปี

การดูแลตนเอง หลังผ่าตัดดึงหน้า

  1. หลังผ่าตัดดึงหน้าอาจมีอาการบวมและฟกช้ำ .ช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดควรประคบเย็นโดยใช้น้ำแข็ง หรือ cold pack ประคบบริเวณรอบ ๆ แผลผ่าตัดบ่อย ๆ เพื่อช่วยลดบวม
  2. ช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัดให้ใส่ผ้ารัดหน้าใส่ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นควรใส่อย่างน้อย 10 – 12 ชั่วโมงต่อวัน และใส่ต่อเนื่องจนครบ 6 เดือน
  3. สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณที่ทำผ่าตัด
  4. งดออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง 2 สัปดาห์
  5. ป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  6. สามารถรับประทานได้ตามปกติ ในช่วงแรกควรรับประทานอาหารอ่อน ๆเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน หลีกเลี่ยงของหมักดอง แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่เพราะมีผลต่อการหายของแผล
  7. รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ
  8. พบแพทย์ตามนัด
https://youtu.be/HXYr46LA-wI?si=8Ej-2QKyRsgI_g82

สรุป

การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) เป็นการทำศัลยกรรมเพื่อยกกระชับและแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามวัย รวมทั้งริ้วรอยจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรมและดูแก่กว่าวัย ให้กลับมากระชับเต่งตึงคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาริ้วรอยความหย่อนคล้อย จากวัยที่มากขึ้น หากต้องการผ่าตัดดึงหน้าปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพย้อนวัยให้กับตนเอง เมโกะ คลินิก คือศูนย์ศัลยกรรมความงาม ให้บริการตอบโจทย์แก้ปัญหาตรงจุด เหี่ยวตรงไหน ดึงตรงนั้น เพียงติดต่อถึงเรามีคำแนะนำสำหรับทุกท่านค่ะ

การผ่าตัดดึงหน้าเป็นหัตถการความงาม ที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม เพราะไม่ใช่การดึงหน้าให้ตึงกระชับของคนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยตามวัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเก็บกระชับส่วนของใบหน้าให้ได้รูปทรง ยกกระชับกล้ามเนื้อและไขมันใต้ผิวหนังให้กลับไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม หรือตามความต้องการของแต่ละบุคคล การผ่าตัดดึงหน้า ราคาเท่าไหร่ ควรพิจารณาเลือกอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ ค่ะ

ผ่าตัดดึงหน้า ราคาเท่าไหร่?

การผ่าตัดดึงหน้า เป็นศัลยกรรมความงามที่หลาย ๆ คนต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เพราะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับคนที่มีความบกพร่องของใบหน้า รูปหน้าไม่สมส่วน มีริ้วรอย โดยเฉพาะปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามวัย ทำให้ผิว โครงหน้า และคอกลับมากระชับได้รูปสวยสมส่วน แลดูอ่อนเยาว์ลง สำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละคลินิกอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ โดยทั่วไปหากเป็นคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน อย่างเช่น เมโกะ คลินิก ราคาผ่าตัดดึงหน้าขึ้นอยู่กับเทคนิคและขั้นตอนการผ่าตัดของศัลยแพทย์ เช่น

  • ผ่าตัดดึงหน้า เทคนิค face lift ยกหน้าตึง ดึงหน้าเด็ก ราคาประมาณ 129,000 – 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่น
  • การตัดดึงหน้า เทคนิค Subbrow lift ยกคิ้ว แก้ตาตก สวยย้อนวัย ราคาประมาณ 35,900 – 40,000 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่น

เทคนิค และขั้นตอนการผ่าตัดดึงหน้า 

ผ่าตัดดึงหน้า เป็นการทำศัลยกรรมความงามที่ทำให้เกิดรอยแผล ปัจจุบันด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีทางการแพทย์ นอกจากมีการพัฒนาวิธีผ่าตัดใหม่ ๆ แล้วยังมีขั้นตอนการผ่าตัดดึงหน้าที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน เป็นเทคนิคที่ทันสมัยและได้รับความนิยม ซึ่งเทคนิคต่าง ๆ เป็นปัจจัยที่มีส่งผลให้ราคาค่าผ่าตัดดึงหน้าแตกต่างกัน โดยเทคนิคต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม การผ่าตัดจะแบ่งสัดส่วนการดึงหน้าออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

เทคนิค 1 ศัลยกรรมดึงหน้าผากเปิดแผลตามไรผม (Hair Line)

1. การดึงหน้าผาก

โดยทั่วไปความหย่อนคล้อยของใบหน้า จะเริ่มจากบนลงล่าง หน้าผาก คือใบหน้าส่วนบน ที่พบความหย่อนคล้อยได้ชัดเจนกว่าส่วนอื่น และการผ่าตัดดึงหน้าผาก เป็นศัลยกรรมที่จะช่วยลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากและดึงหัวคิ้วขึ้นไป เพื่อให้หน้าผากตึงกระชับดูอ่อนเยาว์ลง และยังสามารถทำร่วมกับการเติมไขมันหน้าผากได้ด้วยในกรณีที่มีปัญหาหน้าผากแบนไม่ได้รูปสวยสมส่วน การผ่าตัดดึงหน้าผากจะแบ่งออกเป็น 2 เทคนิค ได้แก่

เทคนิค 2 ศัลยกรรมดึงหน้าผากส่องกล้อง(Endotine)
  • เทคนิคผ่าตัดดึงหน้าผากเปิดแผลตามแนวไรผม เป็นการผ่าตัดดึงหน้าโดยการผ่าตัดยกหรือดึงรอยย่นบริเวณหน้าผากขึ้นไป จากนั้นทำการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินของผิวหน้าผากออกก่อนเย็บปิดแผลตามแนวไรผม เทคนิคนี้มีข้อดีคือช่วยแก้ปัญหาให้กับคนหน้าผากกว้าง และต้องการให้หน้าผากแคบลง
  • เทคนิคดึงหน้าผากส่องกล้อง เป็นการใช้เทคโนโลยีในการศัลยกรรมดึงหน้า โดยการผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscopicในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อ ก่อนนำ Endotine ที่เป็นวัสดุทางการแพทย์เข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดล็อกผิวหน้าผาก ข้อดีของเทคนิคนี้ก็คือ เป็นการใช้วัสดุทางการแพทย์ที่สามารถสลายไปได้เอง ไม่เป็นอันตรายต่อผิว ยึดล็อกผิวหน้าผากให้ยกขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อใด ๆออก แผลเผ่าตัดมีขนาดเล็กและให้ผลลัพธ์ที่คงทน
เปิดแผลผ่าตัด ที่ไรผม foxy eyes ยกหางตา

2. การดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา

การดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา เป็นการศัลยกรรมดึงหน้าที่จะช่วยให้รูปคิ้วโค้งขึ้น หางตาดูเฉี่ยวขึ้น ใบหน้าส่วนบนก็ยกขึ้นด้วย ทำร่วมกับการตัดกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยตีนกา ขั้นตอนการผ่าตัดจะเปิดแผล 2 ที่ บริเวณขมับตรงไรผม แต่ละข้างยาว 3-4 ซม. จากนั้นตัดผิวหนังส่วนเกินออก เพื่อดึงยกหางและคิ้วหางตาขึ้นในแนวเฉียง พร้อมเย็บยกกระชับกล้ามเนื้อ เทคนิคนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยตีนกาบริเวณหางตา มีข้อดี คือแผลจะถูกซ่อนบริเวณแนวไรผมตรงขมับ

3. การดึงใบหน้าส่วนกลางและล่าง

การดึงใบหน้าส่วนกลางและล่าง ในส่วนนี้เป็นการผ่าตัดดึงหน้าด้วยการดึงล็อก ยกผิวหนังขึ้นแล้วเย็บยึดด้วยวัสดุพิเศษ เพื่อดึงใบหน้าส่วนกลางและล่างในตำแหน่งที่คนไข้ต้องการ ข้อดีคือการเย็บซ่อนแผลจะอยู่ในจุดที่สังเกตเห็นได้ยาก หมดกังวลเรื่องรอยแผลที่จะเกิดบนใบหน้า ทำได้ 2 เทคนิค ได้แก่

  • เทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก โดยเปิดแผลขนาดเล็ก 2 ข้าง บริเวณด้านบนช่วงขมับลงมาถึงขอบหน้าหูส่วนบน จากนั้นเลาะชั้นใต้ผิวหนังลงบริเวณใบหน้าส่วนล่าง ในชั้นใต้ผิว SMAS และดึงเก็บพร้อมตัดผิวหนังส่วนเกินออก ก่อนเย็บปิดซ่อนแผลให้สวยงาม
  • เทคนิคการผ่าตัดแบบดึงทั้งหน้า เป็นการผ่าตัดแบบเปิดแผลทั้ง 2 ข้างที่หน้าหูและติ่งหู จากนั้นผ่าตัดเลาะเนื้อเยื่อดึงผิวหนัง Skin และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังไปจนถึงชั้น SMAS แล้วยึดเนื้อเยื่อด้วย Endotine Midface ดึงให้ตึงก่อนตัดผิวหนังส่วนเกินออก แล้วปิดแผลด้วยเทคนิคการเย็บซ่อนรอยแผลผ่าตัด
ผ่าตัดดึงคอ

4. ผ่าตัดดึงคอ

บริเวณคอถือเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่สามารถเห็นความหย่อนคล้อยได้ชัดเจน เนื่องจากเมื่อผิวหนังและไขมันใต้คางเกิดการยุบตัวลง ก็จะทำให้ผิวหนังห้อยย้อยลงมาถึงคาง ขากรรไกรและลำคอสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมอยู่ใต้คาง ทำให้คางหย่อนยาน เกิดเป็นเหนียงหลายชั้น แพทย์จะเปิดแผลใต้คางประมาณ 3 ซม. ทำร่วมกับการดูดไขมันเหนียง เพื่อผลลัพธ์ในการผ่าตัดชัดเจนและดียิ่งขึ้น พร้อมกับผ่าตัดยกกระชับคอ ซ่อนแผลหลังหูทั้งสองข้าง

สรุป

เชื่อว่าการผ่าตัดดึงหน้า เป็นศัลยกรรมความงามที่หลายคนให้ความสนใจ ไม่เฉพาะผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัยเท่านั้น คนที่ต้องการมีใบหน้าสวยสมส่วนตามรูปแบบที่ต้องการ การผ่าตัดดึงหน้าถือเป็นตัวช่วยที่ดี สำหรับข้อสงสัย ผ่าตัดดึงหน้า ราคาเท่าไหร่ บทความนี้คงช่วยคลายความสงสัยได้บ้าง หากต้องการทราบรายละเอียดและข้อมูลที่แน่ชัด เมโกะ คลินิก พร้อมให้บริการสามารถติดต่อสอบถาม ได้ทุกช่องทาง

ศัลยกรรมความงาม ที่ช่วยปรับรูปหน้าให้สวยใส หรือแก้ไขบกพร่อง ลดริ้วรอยความหย่อนคล้อยบนใบหน้า มีหลายเทคนิค และ การยกกระชับใบหน้าด้วย Thermage ที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม เพราะสามารถยกกระชับผิวหน้าให้สวยเยาว์วัย โดยไม่ต้องผ่าตัด สำหรับคนที่มีข้อสงสัย Thermage มีหลักการทำงานอย่างไร อันตรายหรือไม่ เหมาะกับใคร และก่อนตัดสินใจทำควรรู้อะไรบ้าง เมโกะ คลินิก มีคำตอบค่ะ

Thermage FLX คืออะไร

Thermage FLX เป็นนวัตกรรมยกกระชับ ปรับรูปหน้า และลดไขมันที่สะสมบริเวณแก้มหรือใต้คาง ด้วยการส่งคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency (RF) ลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ทำให้คอลลาเจน และอิลาสตินใต้ผิวหนังเกิดการหดตัว ส่งผลให้โครงสร้างของผิวแน่นกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย และสลายไขมันใต้ผิว ได้อย่างเห็นผล Thermage FLX จึงเป็นเครื่องมือยกกระชับผิวโดยใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ ที่ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวย และสามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

ปัจจุบัน Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย เป็นเครื่องรุ่นใหม่ ประสิทธิภาพสูง มีระบบช่วยคำนวณพลังงานความร้อนใต้ชั้นผิว และโฟกัสแม่นยำแบบ Realtime ทำให้ได้รับความนิยม ในการยกกระชับผิวหนังโดยไม่ต้องผ่าตัด และสามารถทำได้ทั่วบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา หรือบริเวณลำคอ การทำเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำ 3-6 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

Thermage คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร  

Thermage หรือ เทอร์มาจ คือเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ที่ได้รับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย เป็นนวัตกรรมความงามที่สามารถส่งพลังงานไปยังผิวชั้นลึกที่เป็นชั้นหนังแท้ หรือที่เรียกว่าชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิวที่หย่อนคล้อยตึงกระชับ รวมทั้งลดริ้วรอยให้จางลงอย่างเห็นผล

หลักการทำงานของ Thermage จะส่งผ่านพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุลงไปในชั้นผิว โดยสามารถยิงลงได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ หรือที่เรียกว่าชั้น SMAS และชั้นไขมัน กระตุ้นการสร้างคลอลาเจนใหม่พร้อมทั้งสลายไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น และยังลดเลือนริ้วรอยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างเห็นผลลัพธ์

เทคโนโลยีเทอร์มาจเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (US-FDA) และได้รับการรับรองจาก อย. ของประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

Thermage ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

Thermage เป็นเครื่องยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด และไม่เกิดรอยแผล แต่สามารถยกกระชับ รวมทั้งแก้ปัญหาริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ในส่วนการทำงานของเครื่อง Thermage ที่เป็นการใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุความถี่สูง เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ เพราะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย 

ผลข้างเคียงหลังทำ Thermage

การทำ Thermage เพื่อยกกระชับเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง ส่วนผลข้างเคียงหลังทำเป็นอาการปกติที่สามารถพบได้และมีเพียงเล็กน้อย อาการส่วนใหญ่จะค่อย ๆ หายไปเอง เช่น

  • อาการบวมแดง เกิดจากการยิงพลังงานความร้อน กรณีนี้พบได้ในคนที่ผิวบาง และสามารถหายได้เองภายใน 1 -2 ชั่วโมง
  • อาการเจ็บระบบบริเวณที่ทำ Thermage โดยอาการเหล่านี้จะหายได้เองในช่วง 2 – 3 วันหลังทำ

ใครบ้างที่เหมาะทำ Thermage ?

ประโยชน์หลัก ๆ ของการทำเทอร์มาจ คือช่วยลด volume ของใบหน้า ทำให้หน้าเรียวขึ้น จึงเหมาะกับคนที่มีไขมันบริเวณใบหน้าเยอะ ยิ้มแล้วมีความรู้สึกหน้าอูม ๆ ซึ่งคนเอเชียส่วนใหญ่จะมีเหนียง หรือคนที่อายุมาก มีหนังห้อยย้อย ผิวที่มีริ้วรอยย่นมาก ๆ ขาดคอลลาเจน หรือไขมันกองในบริเวณคาง ก็จะเหมาะกับการทำเทอร์มาจ นอกจากนี้ยังรวมถึง

  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก กรอบหน้าชัดขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมบริเวณแก้ม ใต้คาง เหนียง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย บริเวณใบหน้า คอ หน้าท้อง ต้นแขน หลังมือ
  • ผู้ที่มีปัญหาเซลลูไลท์บริเวณต้นขาและก้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

Thermage ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

  1. Thermage หรือ เทอร์มาจ เป็นเทคโนโลยียกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง ในคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดเจน หน้าใหญ่ไม่ได้สัดส่วน เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่มากบริเวณแก้มและ ใต้คาง 
  2. ช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม รอยย่นบนหน้าผาก และตีนกา
  3. แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และผิวเปลือกตาที่มีรอยย่น
  4. ลดปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย จากอายุที่มากขึ้น
  5. ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนที่ผิวหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น

Thermage เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะกับใครบ้าง

  1. ผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มหรือเหนียง เพื่อทำให้ใบหน้าดูเรียงและเล็กลง
  2. ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และต้องการที่จะยกกระชับ ทำให้ผิวแน่นขึ้น หน้าเรียวขึ้น
  3. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังจากลดน้ำหนักมาก ๆ ในเวลาอันสั้น  ๆ ทำให้ผิวหนังไม่ยืดหยุ่นและหย่อนคล้อย 
  4. ผู้ที่ที่ใบหน้ามีเนื้อแก้มเยอะหรือมีเหนียง ต้องการยกกระชับใบหน้า แต่ไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
  5. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์
  6. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและต้องการยกกระชับเปลือกตาที่ตก หนังตาตก ต้องการยกคิ้ว เพื่อให้รูปหน้าโดยรวมแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  7. ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในปริมาณที่มาก โดยไม่ต้องการเกิดรอยแผลที่ผิวหนัง
  8. ผู้มีปัญหาผิวพรรณ ผิวแห้ง เกิดริ้วรอยได้ง่าย จากคอลลาเจนเสื่อมในทุกช่วงอายุ

Thermage ไม่เหมาะกับใคร

  1. Thermage เป็นนวัตกรรมในการยกกระชับผิวหน้า ที่ไม่เหมาะกับไข้ที่มีโลหะภายในร่างกาย เช่น เคยใส่เหล็กเทียม น็อต สกรู
  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะคนไข้ที่มีการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  3. ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ควรยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage 
  4. ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากการยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage จะไม่ให้ผลชัดเจนในทันที แต่ช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้ค่อย ๆ เข้ารูปอย่างเป็นธรรมชาติ

Thermage ทำบริเวณใด ได้บ้าง

Thermage เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ที่สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า และลำตัว และการใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในแต่ละจุดครับ ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใช้ บริเวณที่ต้องการทำ สภาพผิวของผู้รับบริการ และการประเมินของแพทย์ บริเวณที่นิยมทำ Thermage เพื่อยกกระชับ ได้แก่

1. บริเวณใบหน้า

การทำ Thermage บริเวณใบหน้า จุดประสงค์เพื่อยกกระชับผิว ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถยกกระชับได้ทั่วหน้าและลำคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ผิวหน้าหย่อนคล้อย แก้มห้อย มีเหนียง ผิวใต้คางหย่อนคล้อย หลังทำช่วยให้มีกรอบหน้าที่ชัด และใบหน้าเรียวกระชับขึ้น

2. บริเวณรอบดวงตา

การทำ Thermage บริเวณรอบดวงตา เพื่อยกกระชับและแก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก แก้ปัญหาผิวเปลือกตามีรอยย่น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว และช่วยฟื้นฟูทำให้ผิวมีความกระชับขึ้น ลดปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย เหมาะกับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอย รวมถึงผู้ที่ต้องการยกคิ้วให้ได้รูปสวย

3. บริเวณเหนียง คอ 

การทำ Thermage บริเวณเหนียง คอ ช่วยสลายไขมันโดยเฉพาะบริเวณเหนียง คอ และยกกระชับผิว ลดแก้มและเหนียง ช่วยลด volume ของใบหน้า ทำให้หน้าเรียวขึ้น

4. บริเวณลำตัว 

การทำ Thermage สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า และลำตัว เช่น บริเวณต้นแขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก หรือบริเวณต้นขาที่หย่อนคล้อย เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังต้นแขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก ต้นขาที่หย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน มีรอยย่น

การเตรียมตัวก่อนทำ Thermage

การทำ Thermage มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก การเตรียมตัวคล้ายกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไป โดยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

  1. พบแพทย์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องการกระชับผิว รักษาริ้วรอย และประเมินจำนวนช็อตส์ให้เหมาะกับการรักษา
  2. กรณีที่ผู้มารับบริการมีการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้ามาก่อน เช่น การร้อยไหมหรือการฉีดฟิลเลอร์ ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือนก่อนทำ Thermage
  3. แจ้งประวัติ แจ้งโรคประจำตัว การรักษาและยาที่รับประทานเป็นประจำ ให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนมารับบริการ
  5. ในวันรับบริการ งดแต่งหน้า หรือทาครีมบำรุง

ขั้นตอนการทำ Thermage

  1. เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณผิวที่ต้องการทำ Thermage
  2. ก่อนทำ แพทย์จะแปะยาชาบนผิวทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที
  3. ติดแผ่นเสริมการส่งคลื่นพลังงานจากเครื่อง Thermage ที่ร่างกายของผู้เข้ารับบริการ
  4. ทาเจล บนผิวบริเวณที่จะทำการรักษา ซึ่งเจลสื่อนำพลังงานจากเครื่องThermage ลงบนผิว
  5. แพทย์ตั้งค่าพลังงาน และปล่อยพลังงานจากเครื่อง Thermage ลงบนผิวทีละจุด
  6. หลังทำ เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวให้อีกครั้ง

หลังทำ Thermage ควรดูแลอย่างไร

  1. หลังทำ Thermage อาจมีอาการหน้าบวมเล็กน้อย ผิวแดงหรือชมพูระเรื่อ เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เอง ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
  2. งดการเลเซอร์ขน การฉีดสารต่าง ๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ รวมถึงการทำทรีตเมนต์ สปาผิว ขัดผิว ประมาณ 2 สัปดาห์หลังรับบริการ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
  3. สามารถแต่งหน้า และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
  4. ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่  เพื่อเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นทำให้คอลลาเจนผิวเสื่อมตัวเร็วกว่าเดิม
  5. หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ หลังทำประมาณ 1 สัปดาห์
  6. ก่อนออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง

ข้อดีของการทำ Thermage

  1. เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิว ที่สามารถทำได้ทั้งใบหน้าและลำตัว
  2. หลังรับบริการ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยประมาณ 10-20 % และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ภายใน 2-3 เดือน
  3. การทำ Thermage เป็นการยกกระชับผิวที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน โดยอยู่ได้นาน1-2 ปี เทียบกับนวัตกรรมตัวอื่น ๆ ที่ให้ผลลัพธ์ได้มากที่สุดอยู่ที่ 8-12 เดือนเท่านั้น
  4. การทำ Thermage ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  5. เป็นเทคโนโลยีใหม่ มีความทันสมัย สามารถช่วยยกกระชับผิวได้ดี และปลอดภัย

ข้อเสียของการทำ Thermage

  1. หลังทำในผู้รับบริการบางคนอาจมีรอยแดงหรือรอยนูนเกิดขึ้น แต่สามารถหายได้เองโดยไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เกิดขึ้น
  2. โปรแกรม Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้คลื่นพลังงานความร้อนในการยกกระชับผิวหน้า จำเป็นที่จะต้องทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความรู้ในการใช้โปรแกรม Thermage เท่านั้น
  3.  ค่าใช้สูงกว่าการศัลยกรรมยกกระชับด้วยวิธีอื่น 

ขั้นตอนการรักษาด้วย Thermage FLX ทำงานอย่างไร

การทำ Thermage FLX เป็นการยกกระชับผิวระดับลึก โดยใช้หลักการส่งความร้อนผ่านคลื่นวิทยุความถี่สูงขั้วเดียว ( Monopolar RF ) ลงไปในชั้นผิวหนังแท้ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยและยกกระชับผิวให้ดีขึ้น ทำได้ทั่วบริเวณใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล สำหรับ ขั้นตอนการรักษาด้วย Thermage FLX  ทำได้ ดังนี้

  1. พบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำการเตรียมตัวก่อนทำ และประเมินผิวหน้า/รูปหน้า ก่อนทำ
  2. หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่นๆ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ หรือร้อยไหม อย่างน้อย 1 เดือน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ในการเตรียมตัวก่อนทำ Thermage FLX  อย่างเคร่งครัด
  3. ซักประวัติ แจ้งข้อมูลเบื้องต้น ศัลยแพทย์วางแผนทำหัตถการ และการยิงช็อตที่เหมาะสมกับสภาพผิว
  4. วันนัดทำ Thermage FLX  ห้ามแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุง
  5. เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องการทำ Thermage FLX  
  6. บางคลินิกอาจมีการถ่ายรูปใบหน้าหรือบริเวณที่มีปัญหาก่อนทำ 
  7. แปะยาชาก่อนทำประมาณ 30 นาที 
  8. เริ่มทำการยิงช็อต Thermage  ประมาณ 45-60 นาที
  9. หลังจากแพทย์ทำการรักษาเสร็จ พนักงานทำความสะอาดผิวและทาครีมบำรุง
  10. แนะนำข้อปฏิบัติหลังทำ Thermage FLX ให้กับผู้รับบริการ

สรุป

การทำ Thermage  คือศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า ให้สวยเยาว์วัยโดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำไม่นานประมาณ 40-90 นาที หลังทำผู้รับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผิวจะยกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลงทันที 20%  และสามารถเห็นผลชัดเจนภายใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์และการดูแลตนเองของผู้รับบริการ ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และมีแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านผิวพรรณโดยตรงในการใช้โปรแกรม Thermage ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการยกกระชับจะได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัยสูง

เชื่อว่าปัญหาผิวพรรณและความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัย สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงทุกคน แม้จะมีการบำรุงดูแลผิวพรรณอย่างดี เมื่ออายุมากขึ้นความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง ใบหน้าจึงเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยชัดเจน ศัลยกรรมดึงหน้าจึงเป็นตัวช่วยยกกระชับคืนความเยาว์วัยได้อย่างเห็นผลลัพธ์ ศัลยกรรมดึงหน้าคืออะไร เหมาะสำหรับใคร เมโกะ คลินิก มีคำตอบครับ

ศัลยกรรมดึงหน้าคืออะไร

https://www.youtube.com/watch?v=O-_HxsSlxfE&t=22s

ศัลยกรรมดึงหน้า คือ การผ่าตัดยกกระชับกล้ามเนื้อและตัดผิวหนังส่วนเกินออก เพื่อช่วยให้ผิวกระชับผิวหน้าตึงกระชับ เรียบเนียน ขจัดปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ตั้งแต่บริเวณใบหน้าส่วนบน ใบหน้าส่วนกลาง และใบหน้าส่วนล่าง ให้ได้รูปทรงที่สวยงาม คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าอย่างมีสุขภาพดี

ก่อนทำ-แก้จมูกopen-ดึงหน้า-เสริมคาง-เติมไขมัน-4

เทคนิคในการศัลยกรรมดึงหน้า

การศัลยกรรมดึงหน้า คือหัตถการที่จะช่วยยกกระชับผิวหน้าได้ครอบคลุมทุกส่วน ตั้งแต่บริเวณใบหน้าส่วนบน ใบหน้าส่วนกลาง และใบหน้าส่วนล่าง โดยทั่วไปปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าในแต่ละช่วงวัยจะแตกต่างกัน การศัลยกรรมแก้ไขเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล จึงต้องใช้เทคนิคที่แตกต่างกันด้วย ทั้งนี้การเลือกใช้แต่ละเทคนิควิธี ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ปัญหาของแพทย์ ดังนี้

1. การดึงกระชับผิวหนัง ใต้ผิวหนังชั้นตื้น 

การผ่าตัดยกกระชับด้วยเทคนิคนี้จะลงลึกเพียงชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพียงเท่านั้น ข้อดีคือเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้ผลดีในการดึงบริเวณข้างแก้ม หางตา และลำคอ ทำให้ผ่าตัดง่าย และแผลผ่าตัดหายเร็ว ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน พักฟื้นเร็ว แต่เทคนิคการศัลยกรรมดึงบริเวณผิวหนังชั้นตื้น เป็นการดึงเฉพาะผิวชั้นตื้นอาจทำให้เกิดแผลเป็นนูนหรือแผลคีลอยด์ได้ง่าย และผลของการผ่าตัดไม่เป็นธรรมชาติมากนัก

2. การผ่าตัดดึงกระชับผิวหน้าในแนวลึก

การผ่าตัดดึงกระชับผิวหน้าในแนวลึก เป็นการผ่าตัดเพื่อเลาะและทำการดึงกระชับใบหน้าในชั้นลึกที่อยู่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อชั้นตื้นของใบหน้า ถือเป็นเทคนิคที่ช่วยแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดที่สุด ข้อดีของการดึงหน้าด้วยเทคนิคนี้ ผลของการผ่าตัดจะดูเป็นธรรมชาติ ได้ผลดีกับปัญหาที่แก้ไขยาก ๆ หรือไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีการผ่าตัดดึงผิวหนังชั้นตื้น ข้อด้อยคือการผ่าตัดใช้เวลานานและใช้เทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น มีความละเอียดมากขึ้น แพทย์ผู้ให้บริการจะต้องมีความชำนาญหรือประสบการณ์ที่มากพอ

ศัลยกรรมดึงหน้า ทำส่วนไหนได้บ้าง

การผ่าตัด ดึงหน้า สามารถทำได้หลายส่วนบนใบหน้า แยกเป็นบริเวณใบหน้าส่วนบน ใบหน้าส่วนกลางและส่วนล่าง หรือ เลือกทำได้เฉพาะส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น

  1. บริเวณขมับ หน้าผาก และคิ้ว ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก หัวคิ้วย่น 
  2. บริเวณส่วนหางคิ้ว หางตา ร่องน้ำตา โหนกแก้ม เป็นการแก้ปัญหาคิ้วตก โดยการยกกระชับผิวบริเวณคิ้วให้ปลายคิ้วยกสูงขึ้นในระดับที่พอเหมาะ ยกกระชับกล้ามเนื้อแก้มที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึง
  3. บริเวณแก้ม ร่องแก้ม  แก้ไขปัญหาร่องแก้มที่ลึกให้จางลง
  4. บริเวณส่วนของร่องน้ำหมาก กรอบคาง เพื่อแก้ไขร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าตึงกระชับ และถูกยกขึ้น
  5. บริเวณช่วงลำคอ เป็นการแก้ไขเหนียงใต้คาง ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง

ศัลยกรรมดึงหน้าเหมาะสำหรับใคร

  1. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นตามวัย และต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าให้ผิวกระชับและดูอ่อนเยาว์
  2. ผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่มีปัญหาสภาพผิวและความหย่อนคล้อยของใบหน้า และต้องการศัลยกรรมดึงกระชับหน้า 
  3. ผู้ที่มีปัญหาหนังรอบดวงตามาก คิ้วตก ต้องการดึงกระชับปรับรูปหน้า
  4. ผู้ที่เคยทำเครื่องยกกระชับมาแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังแก้ปัญหาริ้วรอยบนในหน้าได้ไม่หมด ต้องการศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด
  5. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนยาน ไม่กระชับบริเวณใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
Not found id
ปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาความงาม

รู้ทัน ความหย่อนคล้อยของใบหน้า ก่อนศัลยกรรม

ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า  เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่เฉพาะความหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัยเท่านั้น แต่ริ้วรอยต่าง ๆ ยังเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุหากขาดการบำรุงดูแลผิวพรรณอย่างถูกวิธี หรือเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ศัลยกรรมดึงหน้าถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณใบหน้า แต่ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมดึงหน้า ควรเข้าใจสภาพปัญหาบริเวณใบหน้าก่อนว่ามีลักษณะอย่างไรที่เรียกว่าริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ทำให้ต้องศัลยกรรมดึงหน้า

  1. ลักษณะความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผากและคิ้ว มีลักษณะที่สามารถสังเกตได้คือการเกิดรอยย่นพับเป็นจีบ ระยะห่างระหว่างไรผมถึงคิ้วจะดูกว้างขึ้น และคิ้วตก
  2. ริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณดวงตา จะมีลักษณะหนังตาบนหย่อนคล้อยตกลงมา หากหย่อนคล้อยลงมามากอาจบดบังจนไม่เห็นชั้นตา
  3. ริ้วรอยบริเวณจมูก ลักษณะปลายจมูกจะงุ้มและเตี้ยลง ทำให้รูปจมูกไม่ได้สัดส่วน ศัลยกรรมดึงหน้า จะช่วยปรับโครงหน้าให้สวยได้รูปมากขึ้น
  4. ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยบริเวณแก้มส่วนบน ลักษณะความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มส่วนบน จะทำให้มองเห็นร่องใต้ตาได้ชัด และยังทำให้ร่องแก้มลึก ผิวหน้าไม่เต่งตึงดูแลกว่าวัย
  5. ริ้วรอยบริเวณแก้มส่วนล่าง ปัญหาริ้วรอยส่วนนี้จะทำให้ใบหน้ามีร่องน้ำหมาก แก้มส่วนล่างกับส่วนคอจะกลมกลืนเป็นผืนเดียวกันทำให้ กรอบหน้าคมชัด 
  6. ริ้วรอยบริเวณคอ ความหย่อนคล้อยทำให้เห็นเหนียงชัดขึ้น หากมีไขมันสะสมด้วย ก็จะเห็นเป็นคาง 2 ชั้น 
  7. บริเวณปาก ปัญหาริ้วรอยบริเวณมุมปาก ระยะจมูกกับริมฝีปากบนจะยืดยาวขึ้น ลักษณะปากจะตกและคว่ำลง
ดึงหน้าเทคนิค Gliding Brow Lift (ดึงหน้าเทคนิคใยแมงมุม) 1 เดือน

ข้อควรรู้ก่อนการดึงหน้า ดึงหน้าผาก ดึงคอ

การทำศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการยกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย ปัจจุบันการผ่าตัดดึงหน้า ดึงหน้าผาก ดึงคอ เป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ตึงกระชับได้อย่างเห็นผล แต่การทำศัลยกรรมดึงหน้าให้มีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีควรทำความเข้าใจกับลักษณะของความหย่อนคล้อย และข้อควรรู้ก่อนการดึงหน้า เพี่อประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

ลักษณะของความหย่อนคล้อย

ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดขึ้นตามวัย หรือเกิดจากอายุที่เริ่มมากขึ้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงความหย่อนคล้อยและริ้วรอยจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่าง ๆ อาจดูแลรักษาได้ทั้งการดูแลตนเอง และการศัลยกรรมดึงหน้า เพียงเรารับรู้บริเวณที่มักเกิดริ้วรอยและระดับความหย่อนคล้อย ซึ่งมี 4 ระดับ ดังนี้

1. ริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผาก

หน้าผาก เป็นส่วนที่สามารถเกิดริ้วรอยได้ง่าย เพราะเป็นบริเวณที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแสดงสีหน้า และอารมณ์ อีกทั้งริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผากยังเป็นส่วนมองเห็นได้ชัดเจน ลักษณะริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่

  • ระดับที่ 1 เมื่อแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ เช่น ยักคิ้ว บริเวณหน้าผากจะไม่ทิ้งริ้วรอย การแก้ปัญหาริ้วรอยระดับนี้สามารถบำรุงดูแลผิวพรรณด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อน และดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียง 
  • ระดับที่ 2 เริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อย เมื่อแสดงอารมณ์ เช่น การยักคิ้วขึ้น จะเกิดริ้วรอยเป็นเส้น
  • ระดับที่ 3 เริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าผากเล็กน้อย แม้ไม่มีการแสดงอารมณ์ความรู้สึก แต่หากยักคิ้วขึ้นจะเห็นริ้วรอยชัดเจน
  • ระดับที่ 4 จะสามารถมองเห็นริ้วรอยเป็นเส้นชัดเจน และมีร่องหว่างคิ้วอย่างเห็นได้ชัด การแก้ปัญหาริ้วรอยด้วยการศัลยกรรมดึงหน้า ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด

2. ริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าส่วนบน และรอบดวงตา

ริ้วรอยส่วนนี้ จะเริ่มที่ขมับทั้งสองข้าง ไปจนถึงรอบดวงตา เช่นหนังตาตก ถุงใต้ตา รอยตีนกา สามารถเห็นริ้วรอยได้แม้ไม่ได้แสดงสีหน้าและอารมร์ เมื่อยิ้มจะเกิดริ้วรอยและเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลักษณะริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • ระดับที่ 1 บริเวณหนังตาตกเล็กน้อย หัวตายังปกติ รวมถึงเริ่มมีถุงใต้ตา
  • ระดับที่ 2 ลักษณะริ้วรอย เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตาชัดเจน มีรอยตีนกา ถุงใต้ตา หนังตาตกระดับปานกลาง
  • ระดับที่ 3 ลักษณะริ้วรอย มีหนังตาตกลงมาจนส่งผลต่อการมองเห็น มีรอยย่นบริเวณใต้ตา เห็นถุงใต้ตา และตีนกาชัดเจน

3. ริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าส่วนกลาง และส่วนล่าง

ริ้วรอยส่วนนี้ สังเกตได้ตั้งแต่บริเวณร่องแก้ม ความกระชับของแก้ม เช่น การมีร่องน้ำหมาก แก้มห้อย แก้มเหี่ยวไม่กระชับ ลักษณะริ้วรอยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • ระดับที่ 1 ริ้วรอยระดับนี้สังเกตได้เมื่อยิ้มจะเกิดร่องแก้ม เป็นขีดเส้น ๆ รวมถึงแก้มมีความห้อย
  • ระดับที่ 2 ริ้วรอยเห็นได้ชัดเจน เมื่อยิ้มเพียงเล็กน้อยจะเกิดร่องในทันที แก้มมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด
  • ระดับที่ 3 ริ้วรอยเห็นได้ชัดเจน โดยไม่ได้แสดงสีหน้า เช่น ร่องแก้มเป็นถุง มีร่องน้ำหมาก 

4. ริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ

ริ้วรอยความหย่อนคล้อยส่วนนี้จะดูที่บริเวณลำคอ รวมถึงเหนียง ที่จะมีลักษณะเป็นเส้น ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน ลักษณะริ้วรอยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • ระดับที่ 1 ลักษณะริ้วรอยเริ่มมีความหย่อนคล้อย ผิวแห้ง แต่ไม่ถึงกับมีริ้วรอย
  • ระดับที่ 2 เริ่มมีริ้วรอย แต่ยังไม่มีเหนียงหย่อนยาน
  • ระดับที่ 3 ลักษณะความหย่อนคล้อย เริ่มมีร่องบริเวณคออย่างที่เห็นได้ชัดเจน

เทคนิคที่ใช้ในการทำศัลยกรรมดึงหน้า

ปัจจุบันการทำศัลยกรรมดึงหน้า มีหลายเทคนิคที่นำมาแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า และถือเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นลำดับแรก ๆ ก่อนศัลยกรรมดึงหน้า ดึงหน้าผาก ดึงคอ เนื่องจากแต่ละเทคนิคมีข้อดีข้อด้อยและเหมาะกับแต่ละบุคคล ดังนี้

1. ศัลยกรรมดึงหน้าผากเปิดแผลตามแนวไรผม (Hair Line)

เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่หน้าผากกว้าง และมีความต้องการให้หน้าผากแคบลง เพราะเป็นการผ่าตัดดึง ยก รอยย่นบริเวณหน้าผากขึ้นไป และทำการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินของผิวหน้าผากออก จากนั้นทำการเย็บปิดแผลตามแนวไรผม 

2. ศัลยกรรมดึงหน้าผากส่องกล้อง (Endotine)

เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดดึงหน้าหรือยกกระชับที่คงทน ไม่กลับมาหย่อนคล้อยเร็ว โดยการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าแบบส่องกล้องแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณขนาดเล็กเพียง 1-2  ซม. และมีบาดแผลเพียง 3-5 จุด ที่อยู่ในบริเวณหนังศีรษะ จึงไม่เกิดรอยแผลที่มองเห็นได้ และเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscopic ในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อ แล้วใช้วัสดุ Endotine เป็นวัสดุทางการแพทย์  ไม่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถสลายไปเองได้ โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมตกค้างในผิว ให้ผลลัพธ์คงความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดดึงหน้า

  1. เลือกคลินิกที่จดทะเบียนถูกต้อง มีแพทย์วิชาชีพเป็นผู้ให้บริการ
  2. พบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการเตรียมความพร้อม ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า 
  3. แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา กรณีมีโรคประจำตัว แจ้งยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบ
  4. งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  5. งดรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน อาหารเสริม ยาที่ก่อให้เกิดการแข็งตัว หรือเลือดออกง่าย อย่างน้อย 7-10 วัน
  6. ก่อนวันนัด ควรดูแลสุขภาพและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  7. งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเป็นระยะเวลา 8 ชั่วโมง
  8. การผ่าตัดดึงหน้า จำเป็นต้องใช้ยาสลบ วันวัดผ่าตัดควรมีญาติมาดูแล
  9. หลังดมยาสลบอาจจะมีอาการเวียนหัว หน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน  ไม่ควรขับรถกลับบ้านด้วยตนเอง

การดูแลตนเองหลังทำศัลยกรรมดึงหน้า

  1. หลังผ่าตัด ต้องพักฟื้นที่สถานบริการเพื่อติดตามอาการภายใต้การควบคุมของแพทย์
  2. ใส่ผ้ารัดหน้าตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัด เพื่อให้การผ่าตัดดึงหน้าได้ผลลัพธ์ที่ดี ช่วง 7 วันแรกให้ใส่ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นควรใส่อย่างน้อย 10 – 12 ชั่วโมงต่อวัน และใส่เฉพาะเวลานอน ต่อเนื่องจนครบ 6 เดือน
  3. ป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  4. ช่วง ประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด ควรนอนหมอนสูง เพื่อลดอาการบวม
  5. รับประทานยาประเภทต่าง ๆ ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดจนหมด
  6. งดเครื่องดื่มมึนเมา แอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่อย่างน้อยเป็นเวลา 2 เดือน
  7. งดย้อมสีผมหรือทำเคมีกับผมนาน 1 เดือนหลังผ่าตัด
  8. ออกกำลังกายได้ตามปกติหลังจากผ่าตัดแล้ว 1 เดือน

สรุป

ศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการผ่าตัดยกกระชับด้วยวิธีดึงหน้า เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอซึ่งเกิดจากวัยที่มากขึ้น หรือเกิดจากผิวขาดการบำรุงดูแลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรมแลดูแก่กว่าวัย ศัลยกรรมดึงหน้ามีหลายเทคนิค

การผ่าตัดศัลยแพทย์จะเลือกเทคนิควิธีที่เหมาะสมกับปัญหาของผู้รับบริการแต่ละบุคคล สามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และทุกคนที่มีปัญหาริ้วรอย คนที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า สำหรับใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาความหย่อนคล้อยบนใบหน้า สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่เมโกะ คลินิกได้ค่ะ เมโกะคลินิกพร้อมที่จะให้บริการ และดูแลคุณ

การเติมไขมันหน้าเพื่อเติมเต็มจุดบกพร่องบนใบหน้า หรือการเติมฟิลเลอร์เพื่อรักษาริ้วรอยร่องลึก เป็นทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม ส่วนผู้ที่สนใจแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดีระหว่างเติมไขมันหน้า และเติมฟิลเลอร์ ในบทความนี้จะบอกเล่าถึงข้อดี-เสียของการเติมไขมันหน้า พร้อมทั้งเปรียบเทียบการเติมไขมันหน้ากับฟิลเลอร์ว่าจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

เติมไขมันหน้า คืออะไร 

การเติมไขมันหน้าเป็นนวัตกรรมความงาม ที่ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบนใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นการปรับรูปหน้า หรือเติมเต็มใบหน้าด้วยการใช้ไขมันตัวเองไปเติมเต็ม ช่วยเพิ่มความอวบอิ่มทำให้ใบหน้าดูเด็กลง และยังได้ผลลัพธ์ชัดเจนปลอดภัย ไม่มีอาการแพ้ ร่างกายไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน เพราะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม

เติมไขมันหน้าดีไหม มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

การศัลยกรรมทุกประเภทล้วนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย  การเติมไขมันหน้าก็เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นการเติมเต็มบริเวณใบหน้าด้วยไขมันในร่างกายของตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย แต่ก็มีกระบวนการหลายขั้นตอน ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อด้อยหรือข้อเสีย โดยรวมการเติมไขมันหน้าเป็นนวัตกรรมความงามที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของการเติมไขมันหน้า

  1. เติมไขมันหน้า เป็นนวัตกรรมความงามที่มีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอาการ
  2. แพ้ ร่างกายไม่ต่อต้าน ไม่มีข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนหลังฉีด เพราะเป็นไขมันของตัวเราเอง
  3. การเติมไขมันหน้าสามารถเติมเต็มได้ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก ขมับ ร่อง
  4. แก้ม คาง ใต้ตา หรือส่วนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยร่องลึก
  5. ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย ช่วยเติมเต็มร่องลึก ลดริ้วรอย ทำให้ผิวเต่งตึง แก้ไขปัญหาหน้าตอบ หน้าแก่ก่อนวัยความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล
  6. หลังเติมไขมันหน้า ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น และอาการเจ็บน้อย 
  7. ผลลัพธ์หลังเติมไขมันหน้า เมื่อผ่านไป 5-6 เดือน ไขมันจะเริ่มเข้าที่ และอยู่ได้นานหลายปี หากทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ที่สูง
  8. หลังเติมไขมันหน้า เซลล์ไขมันจะช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมผิวให้สุขภาพดีขึ้น ผิว
  9. หน้าฉ่ำวาว มีความอ่อนวัย และดูเป็นธรรมชาติ
  10. ทำให้ผิวเต่งตึง แก้ไขความหย่อนคล้อยได้ หลังเติมไขมันหน้าจะทำให้ใบหน้า
  11. ดูเด็กลง และช่วยให้ใบหน้าดูสวยละมุนขึ้น
  12. ขั้นตอนการเติมไขมันหน้า เป็นการเติมไขมันหน้าที่มีมาตรฐาน ทุกขั้นตอน
  13. ผ่านกระบวนการที่ปลอดเชื้อ
  14. สามารถเติมไขมันหน้าได้โดยไม่จำกัดซีซี  ปริมาณการเติมเต็มนอกจากอยู่ใน
  15. ดุลพินิจของแพทย์ ยังขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ว่าอยากเติมเต็มใบหน้าแบบไหน
  16. เติมไขมันหน้า ราคาถูกกว่าการเติมฟิลเลอร์ หากต้องใช้เติมเต็มเพื่อแก้
  17. ปัญหาใบหน้าในปริมาณมาก ๆ

ข้อเสีย ของการเติมไขมันหน้า

  1. การเติมไขมันหน้า มีข้อจำกัดและไม่เหมาะกับคนที่ผอมมาก ๆ มีไขมันในร่างกายน้อย เพราะไขมันอาจจะไม่เพียงพอในการเติมใบหน้า 
  2. เซลล์ไขมันเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อเติมใบหน้าแล้วไขมันบางส่วนอาจตายได้และไม่ติด 100 % เมื่อไขมันยุบเข้าที่แล้วจะเหลือจริง ๆ เพียง 40-50% และการเติมไขมันหน้าในปริมาณมากกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ช่วงแรกหลังฉีดอาจทำให้ดูบวมช้ำจนเห็นได้ชัด
  3. จำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้น เพราะอาจมีอาการบวมในช่วงแรก ๆ ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 5-7 วัน
  4. ไขมันที่ฉีดเติมเต็มให้ผลไม่ 100 % เพราะเมื่อไขมันยุบเข้าที่แล้วจะเหลือจริงๆ เพียง 40-50% 
  5. ต้องฉีดซ้ำ ในกรณีไขมันที่ฉีดเติมเต็มใบหน้ามีการเพิ่มหรือลดลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว 
  6. การเติมไขมันหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ส่วนใหญ่ต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก 
  7. 1-3 ครั้ง ขึ้นกับปริมาณไขมันที่สลายตัว ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล 
  8. ควรทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญ เพราะการเติมไขมันหน้ามีความ
  9. ละเอียดอ่อนและหลายขั้นตอน ทั้งการดูดไขมันจากร่างกาย ขั้นตอนการนำมาคัดแยกให้ได้ไขมันคุณภาพดี และขั้นตอนการฉีด ซึ่งในแต่ละจุดต้องฉีดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

การเติมฟิลเลอร์ คืออะไร

การเติมฟิลเลอร์ เป็นการเติมเต็มใบหน้าเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก บริเวณใบหน้าให้ดูเรียบเนียน ผิวดูชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น แต่การฉีดควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเชี่ยวชาญ และมีความรู้เฉพาะทางเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน

เติมไขมันหน้า และการเติม ฉีดฟิลเลอร์เลือกแบบไหนดี

เติมไขมันหน้าและการเติมฟิลเลอร์ คือศัลยกรรมความงามและการดูแลผิวบริเวณใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นการเติมไขมันและสารเติมเต็มเพื่อลดเลือนริ้วรอยและแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้า ทำให้ผิวเต่งตึง ช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมผิวให้สุขภาพดี มีความอ่อนเยาว์ และดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นการเติมไขมันหน้าและการเติมฟิลเลอร์ ยังเป็นหัตถการที่มีความละเอียดอ่อน ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดี หากรับบริการจากแพทย์วิชาชีพที่มีความชำนาญและประสบการณ์ที่สูง สำหรับการเติมไขมันหน้าและการเติมฟิลเลอร์ หากไม่แน่ใจว่าควรเลือกแบบไหนดี มีรายละเอียดและข้อเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

ข้อเปรียบเทียบการเติมไขมันหน้า และการเติมฟิลเลอร์

การเติมไขมันหน้าการเติมฟิลเลอร์
ฉีดเติมเต็มด้วยเซลล์ไขมันในร่างกายของตนเอง โดยการดูดไขมันจากส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น บริเวณต้นขา หรือหน้าท้อง ต้นแขน สะโพก หรือส่วนอื่น ๆ ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่ทำจากกรดไฮยาลูรอนิคสังเคราะห์
กระบวนการฉีดแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การดูดไขมัน การคัดแยกไขมัน และขั้นตอนการฉีด ซึ่งบริเวณที่ต้องการฉีด จะฉีดจุดละน้อย ๆ หลายๆจุด เพื่อให้ไขมันสลายน้อยลง  2. การเติมฟิลเลอร์ ใช้การแปะยาชา ไม่ต้องฉีดยาชา หรือ ยาสลบระหว่างฉีด
ผลลัพธ์ไม่ถาวร การเติมไขมันหน้า หรือการเติมไขมันหน้าเด็ก หากไม่พึงพอใจผลลัพธ์จะไม่มียาฉีดสลายแต่ไขมันจะเริ่มสลายไปเองตั้งแต่หลังฉีด3.วิธีการฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดที่จุดเดียวเพื่อให้ฟิลเลอร์เกาะรวมกันเป็นก้อนได้ สามารถเกลี่ยและปั้นขึ้นรูปได้ตามปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ระยะเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์ 3 – 5สัปดาห์ หลังการฉีด4.การเติมฟิลเลอร์อยู่ได้นานกว่าการเติมไขมัน เพราะเป็นสารเติมเต็ม ไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองเซลล์ ปกติผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4 เดือน-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อฟิลเลอร์
การเติมไขมันต้องใช้ใช้ยาชา หรือยาสลบ รวมไปถึงยาแก้ปวดก่อนหรือหลังทำ5.หลังเติมหากไม่พึงพอใจผลลัพธ์ที่ได้ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ หากต้องการปรับรูปทรงเพิ่มก็สามารถเติมฟิลเลอร์เพิ่มได้เช่นกัน
เติมไขมันหน้า ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าตอบ หน้าโทรม ดูมีอายุ และผิวหน้าที่มีริ้วรอยร่องลึก ทำให้หน้าดูเด็กลง6.เห็นผลทันทีหลังฉีด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ในการเติมไขมันหน้าต้องใช้ไขมันครั้งละประมาณ 30 – 40 cc เผื่อไขมันสลายตัวหลังฉีด7.ปริมาณการเติมฟิลเลอร์ทั่วหน้า ส่วนใหญ่ฉีดครั้งละ 5 – 20 cc 1 – 2 cc
การเติมไขมันหน้าเสี่ยงเกิดไขมันเป็นคลื่น จากไขมันสลายตัวไม่สม่ำเสมอ8. การเติมฟิลเลอร์ ช่วยแก้ไขปัญหาผิว ปรับรูปหน้าและช่วยเติมเต็มใบหน้าให้ดูละมุนขึ้น
ราคาถูกกว่า เนื่องจากไขมันนำมาจากร่างกายของตนเอง9. ราคาแพงกว่าการเติมไขมัน เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน1 ปี 10.มีความเสี่ยงหากเติมฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฟิลเลอร์ปลอม(สารเหลว)

สรุป

การเติมไขมันหน้าและการเติมฟิลเลอร์ เป็นหัตถการช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ลงโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นการเติมเต็มด้วยการเติมไขมันตนเอง และสารเติมเต็มที่ทำจากกรดไฮยาลูรอนิคสังเคราะห์ 

สำหรับข้อสงสัยเติมไขมันหน้ามีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร เติมไขมันหน้า vs เติมฟิลเลอร์ เลือกแบบไหนดี โดยรวมทั้ง 2 เทคนิค เป็นนวัตกรรมความงามที่ช่วยแก้ไขปัญหาบนผิวหน้า ช่วยปรับรูปหน้าให้ลดเลือนริ้วรอยเช่นเดียวกัน แต่มีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกัน อาทิ การเติมไขมัน ราคาถูกกว่า เติมฟิลเลอร์ และการเติมไขมันเป็นการเติมเต็มด้วยเซลล์ไขมันในร่างกายของตนเอง ส่วนการเติมฟิลเลอร์เป็นเติมเต็มทำจากกรดไฮยาลูรอนิคสังเคราะห์ หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกแบบไหนดี สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่เมโกะ คลินิกได้ค่ะ เมโกะคลินิกพร้อมที่จะให้บริการ และดูแลคุณ 

ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณใบหน้า ส่วนใหญ่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามวัย โดยเฉพาะผิวบริเวณใต้ตา แก้ม และ กราม การบำรุงดูแลผิวเพื่อป้องกันหรือลดเลือนริ้วรอยที่เห็นผลต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แม้ปัญหาเหล่านี้จะยากต่อการควบคุม แต่ปัจจุบันศัลยกรรม มีนวัตกรรมใหม่ที่สามารถช่วยได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น บทความนี้ เมโกะ คลินิก มี HIFU นวัตกรรมยกกระชับผิวหน้า แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย มาแนะนำ

HIFU คืออะไร อันตรายหรือไม่

ปัจจุบันนวัตกรรมความงาม ที่ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอย ทำได้หลายรูปแบบโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เกิดรอยแผล HIFU คือหนึ่งใน นวัตกรรมที่ช่วย ‘ยกกระชับหน้า’ ฟื้นฟูผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ และทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

HIFU คืออะไร

HIFU ย่อมาจากคำว่า High Intensity Focused Ultrasound เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิว โดยการส่งผ่านคลื่นโฟกัสอัลตราซาวน์ที่มีความเข้มข้นสูง ลงในในผิวชั้นรอยต่อของกล้ามเนื้อหรือผิวชั้นลึกอย่างเจาะจง เพื่อทำลายคอลลาเจนที่เสื่อม พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณเนื้อเยื่อให้แข็งแรง ส่งผลให้เกิดการยกตัวของผิวหนังบริเวณใบหน้า ปรับโครงสร้างของผิวให้กระชับขึ้น

HIFU อันตรายหรือไม่

HIFU เป็นหัตถการยกกระชับผิว ที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดยา มีความปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ที่ร้ายแรง อาการหลังทำที่มักพบคืออาการหน้าบวมซึ่งเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หากมีอาการปวดร่วมด้วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดหรือประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้ โดยทั่วไปอาการหน้าบวมจะยุบลงเองภายใน 7-14 วัน สำหรับอันตรายที่ควรระวัง ได้แก่ ผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน คลินิกไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แพทย์ไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีความชำนาญการทำ HIFU

HIFU ยกกระชับผิวหน้าได้อย่างไร 

HIFU เป็นนวัตกรรมความงามที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากวัยที่มากขึ้น เพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องยกกระชับใบหน้า ทำให้ผิวเต่งตึง และยังฟื้นฟูผิวด้วยการกระตุ้นการเกิดคอลลาเจน ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้าได้อย่างเห็นผล ก่อนทราบว่า HIFU ยกกระชับผิวหน้าได้อย่างไร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีผู้รับบริการควรมีความรู้เกี่ยวเรื่องต่อไปนี้

สาเหตุการเกิดผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ 

ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ จากวัยที่มากขึ้น เกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในร่างกายของคนเรา ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการควบคุม เพราะเมื่ออายุมากขึ้น การผลัดเซลล์ผิวเริ่มช้าลงและร่างกายผลิตไขมันลดลง คอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังมีการสร้างใหม่น้อยลง ทำให้ผิวดูแห้งกร้าน จึงเกิดความหย่อนคล้อยของเซลล์ผิวชั้นลึก ทำให้ใบหน้าสูญเสียความกระชับ และค่อยๆ หย่อนคล้อยจนเสียรูป และเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ตามมา

บริเวณริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ที่นิยมทำ HIFU 

จากการที่อายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง รวมถึงสภาพแวดล้อมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลที่เป็นปัจจัยภายนอก อาจจะมีผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย เนื่องจากความยืดหยุ่นของผิวลดลง ปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอย ที่นิยมทำ HIFU ได้แก่

  1. HIFU หน้าผาก ปัญหารอยย่นบริเวณหน้าผาก ส่งผลทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากขึ้น การทำHIFU หน้าผาก เพื่อกระชับผิวหน้า เก็บกรอบหน้าให้กระชับขึ้น ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า
  2. HIFU คอ และเหนียงใต้คาง เหนียงเป็นเนื้อที่ห้อยย้อย หรือไขมันที่สะสมอยู่ใต้คาง การมีเหนียงใต้คาง ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง การทำ HIFU ช่วยลดไขมันสะสมและผิวใต้คางที่หย่อนคล้อยให้กระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้น
  3. HIFU รอบดวงตา เป็นนวัตกรรมที่สามารถใช้หัวยิงเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างปลอดภัย ช่วยลดความหย่อนคล้อย ลดถุงใต้ตา และกระชับผิวเปลือกตาได้อย่างเห็นผลลัพธ์ 
  4. HIFU ทั่วหน้า ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ฟื้นฟูผิวหน้าให้สดใส สวยได้รูปและอ่อนเยาว์ลง
  5. HIFU บริเวณบนร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง ช่วยลดไขมันกระชับผิวบริเวณแขน ขา และหน้าท้องให้กระชับเรียบเนียน

หลักการทำงานของ HIFU 

HIFU คือหัตถการยกกระชับที่อาศัยคลื่นเสียงความถี่สูงที่มีความเข้มข้นสูงและเฉพาะเจาะจง หลักการทำงาน โดยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงลงไปในชั้นผิวหนัง มีการปล่อยความแรงของพลังงานอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างที่ยิงพลังงานจะคงที่ เลือกใช้หัวยิงให้เหมาะกับระดับผิวและปัญหาของแต่ละบุคคลได้ ดังนี้

  1. ผิวชั้นบน ใช้หัวความลึก 1.5-2.0 mm เพื่อช่วยเรื่องยกกระชับ ลดริ้วรอยในระดับที่ไม่ลึกมาก และช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
  2. ผิวชั้นกลาง สามารถใช้หัวความลึก 3.0 mm เพื่อช่วยกระชับใบหน้า ลดไขมันและเซลลูไลท์
  3. ผิวชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ สามารถเลือกใช้หัวความลึก 4.5 mm เพื่อช่วยกระชับกล้ามเนื้อและยกแก้ม
Not found id
ปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาความงาม

ข้อดีของการทำ HIFU

  1. HIFU เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ ที่มีความปลอดภัยสูงและไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณชั้นนอก เพราะถูกพัฒนามาจากการอัลตร้าซาวด์ดูครรภ์ทางการแพทย์
  2. เป็นการยกกระชับ และลดเลือนริ้วรอยที่ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
  3. ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในรูขุมขน คอลลาเจนที่ร่องแก้ม
  4. การทำ HIFU ริ้วรอยใต้ตา จะไม่เป็นอันตรายต่อสายตา สามารถเน้นบริเวณรอบดวงตาและใต้ตาได้อย่างปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  5. หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที
  6. สามารถช่วยปรับรูปหน้าได้ หน้าเรียวขึ้น เมื่อทำ HIFU กรอบหน้า เหนียง คอหรือบริเวณทั่วใบหน้า
  7. การทำ HIFU มีหัวยิงตามระดับความลึก ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ และตรงจุด
  8. ขั้นตอนการทำ มีความสะดวก ใช้ระยะเวลาไม่นาน ประมาณ 30-50 นาที

HIFU สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

HIFU นวัตกรรมการยกกระชับโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ที่สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผลลัพธ์ของการทำ HIFU สามารถแก้ไขปัญหาบริเวณใบหน้า เหนียง ลำคอ และรูปร่าง ได้ดังนี้

  1. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวหนังหย่อนคล้อย บริเวณใบหน้า แก้ม และลำคอ 
  2. ช่วยยกกระชับผิวส่วนต่างๆ เช่น บริเวณเอว, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นแขน, ท้องแขน, ต้นขา, หน้าอกและบริเวณลำตัว
  3. แก้ไขปัญหาริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยบริเวณผิวหน้า และรอบดวงตา
  4. สามารถแก้ปัญหาหนังตาตกได้ ทำให้คิ้วยกขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้ดวงตาสดใส ตาโตขึ้น
  5. ช่วยลดปัญหาชั้นไขมันบริเวณเหนียง และใต้คาง
  6. เพิ่มความคมชัดของกรอบหน้า ทำให้รูปหน้าโดดเด่น และเห็นแนวกรามชัดขึ้น
  7. กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวทำให้ผิวเต่งตึง คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว

Hifu ลดแก้มได้อย่างไร

เชื่อว่าปัญหาความหย่อนคล้อยบนใบหน้า แก้มใหญ่ รูปหน้าไม่เรียวสวย ผิวหน้าไม่กระชับ สร้างความกังวลใจให้กับใครหลาย ๆ คนแล้ว ยังทำให้ขาดความมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง Hifu ลดแก้ม จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะHifu เป็นเครื่องมือยกกระชับ มีหลักการทำงานเพื่อช่วยลดแก้ม ด้วยการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ ที่ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้นเพื่อทำให้ผิวชั้นนั้นหดตัวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์มากขึ้น และยังเป็นเครื่องมือยกกระชับที่สามารถทำได้หลายจุดบนใบหน้า เช่น การทำ Hifu ยกกระชับบริเวณแก้ม ลดไขมันแก้ม ยกแก้มหย่อน หรือลดแก้มให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น พร้อมกับกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรง ส่งผลให้ผิวยกกระชับขึ้นได้ หลังทำสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9  เดือน ระยะเวลาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของแต่ละบุคคล

การทำ HIFU มีข้อเสียหรือไม่

หลังการทำ HIFU ในบางคนอาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น มีรอยแดง ผิวหนังมีผื่นแดง มีอาการเมื่อยหรือตึงที่หน้า รู้สึกเสียวแปลบขณะทำการรักษา อาการบวม ชาหรือช้ำหลังทำ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง ระยะเวลาขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของผู้รับบริการ 

การทำ HIFU ทำไมต้อง เมโกะ คลินิก

  1. เป็นคลินิกศัลยกรรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามมาตรฐานสถานพยาบาล และมีใบอนุญาตถูกต้อง
  2. ให้บริการด้วยแพทย์เฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ และให้บริการศัลยกรรมและหัตถการเสริมความงามครบวงจร
  3. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ได้มาตรฐานระดับสากล มีอุปกรณ์กู้ชีพ ห้องผ่าตัดเล็ก ห้องผ่าตัดพร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐาน
  4. ความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทาง เมโกะ คลินิก เป็นคลินิกศัลยกรรมความงามที่ก่อตั้งเมื่อปี 1982 โดย นายแพทย์มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมและเปิดให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 40 ปี
  5. ความพร้อมของบุคลากร มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะ ที่จะคอยให้การรักษาและแนะนำทางเลือกที่เหมาะสมแก่ลูกค้า ทีมแพทย์มีรายชื่อเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง” ในฐานข้อมูลเว็บไซต์ของแพทยสภา และสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย หรือ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Hifu

ผิวหนังหย่อนคล้อย และการเกิดริ้วรอย เป็นปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การทำHifu เป็นนวัตกรรมการยกกระชับผิวที่กำลังได้รับความนิยม เพราะนอกจากช่วยยกกระชับผิวหน้าได้ดีแล้ว ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าอวบอิ่มอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ การทำ Hifu มักมีคำถามที่พบได้บ่อย ๆ ดังนี้

บริเวณใบหน้าส่วนไหน ทำ Hifu ได้บ้าง และช่วยอะไร

  • บริเวณแก้ม เพื่อแก้ปัญหาแก้มย้อย ลดไขมันแก้ม ช่วยยกกระชับแก้ม ทำให้หน้าเรียวมากขึ้น
  • บริเวณคาง หรือเหนียง เพื่อแก้ปัญหาไขมันส่วนเกิน การทำ Hifu ช่วยลดความหย่อนหย่อนคล้อยของผิว และยกกระชับเหนียง หมดปัญหาการมีคางสองชั้น
  • ใต้ตา บริเวณใต้ตาเป็นส่วนหนึ่งบนใบหน้าที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย การทำ Hifu สามารถลดริ้วรอย ทำให้ผิวใต้ตาตึง กระชับ และเรียบเนียนขึ้น
  • บริเวณคอ  การทำ Hifu ช่วยลดริ้วรอย รอยย่นที่คอ ทำให้ผิวดูมีความอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น

การทำ Hifu สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆได้ไหม

การทำ Hifu สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ฟิลเลอร์ ร้อยไหม โบท็อกซ์ เมโสแฟต หรือ Thermage แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ให้บริการเป็นผู้ประเมินและเลือกหัตถการที่เหมาะสม

การทำ Hifu อยู่ได้นานไหม

โดยทั่วไปหลังทำ Hifu 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน หรืออาจอยู่ได้นาน 6-12 เดือน หากกลับมาทำซ้ำทุก 3 เดือน นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับเครื่องที่ใช้ และการดูแลตนเองหลังทำ Hifu

การทำ Hifu เห็นผลทันที หรือไม่

การทำ Hifu หลังทำครั้งแรกสามารถเห็นผลได้ทันทีประมาณ 20 % โดยจะสัมผัสได้ถึงการยกกระชับ และจะเห็นผลชัดเจนหลังทำนาน 1-2 เดือน หากต้องการเห็นผลลัพธ์ยาวนาน สามารถทำ Hifu ซ้ำได้ทุก ๆ 3 เดือน

การทำ Hifu เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด 
  • ผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณร่องใต้ตาร่องแก้มไม่ลึกมากนัก
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น มีริ้วรอยไม่มาก และต้องการลดเลือดริ้วรอยที่ไม่ต้องพักฟื้น

ใครบ้างไม่ควร ทำ Hifu

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ ควรรักษาให้หายก่อน
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงต่อเด็ก
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด
  • ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังทำ Hifu

ผลข้างเคียงหลังทำ Hifu หากรับบริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐานมีศัลยแพทย์วิชาชีพเป็นผู้ให้บริการ ผลข้างเคียงที่พบมักไม่มีอาการที่รุนแรง อาจมีเพียงรู้สึกไม่สบายผิวบริเวณที่ทำ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงแรก ๆ หลัง เช่น อาการเจ็บผิว ผิวแดง อาการเมื่อยล้าผิว โดยอาการต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 1 – 2 วัน

สรุป

HIFU เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิว โดยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงลงไปในชั้นผิวหนัง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความตึงกระชับ มีไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณใบหน้า หรือส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยและไม่อันตราย หากการทำพิจารณาเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีอาจารย์แพทย์และทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการ อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ทันสมัย ใช้เครื่องแท้นำเข้ามาอย่างถูกต้อง การทำ HIFU ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังทำ ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แก้ปัญหาได้ตรงจุด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อนและหลังการทำ HIFU อย่างเคร่งครัด

Q : HIFU คืออะไร

A : Hifu ย่อมาจากคำว่า  High Intensity Focus Ultrasound เป็นเครื่องมือยกกระชับ ปรับรูปหน้าโดยใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อลดความหย่อนคล้อยของผิว แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด

Q : HIFU เหมาะกับใครบ้าง

A : HIFU เป็นเครื่องมือยกกระชับ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยขาดความกระชับ มีริ้วรอยบนผิวหน้า หน้าผาก และรอบดวงตา ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก ชั้นไขมันใต้คาง แก้ม และเหนียง

Q : หลังทำ HIFU กี่วันเห็นผลลัพธ์

A : หลังทำ HIFU จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ทันที 20 % และสามารถเห็นผลหลังทำได้ชัดเจน ในระยะเวลา 1-2 เดือน

Q : ผลลัพธ์หลังทำ HIFU อยู่ได้นานแค่ไหน

A : ผลลัพธ์หลังทำ HIFU จะอยู่ได้นาน 5-6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับเครื่อง HIFU ที่ใช้ การใช้ค่าพลังงาน และการดูแลตนเองหลังทำ HIFU

Q : การทำ HIFU สามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่นได้หรือไม่

A : การทำ HIFU สามารถทำควบคู่ไปกับหัตถการอื่นได้ เช่น ฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์  เมโสแฟต หรือ ร้อยไหม

Q : การทำงานของ HIFU ช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ได้อย่างไร

A : หลักการทำงานของ HIFU หัวยิงจะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง ข้าไปใต้ชั้นผิว จากนั้นเปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวยกกระชับ หน้าเรียบเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ

Q : อายุเท่าไหร่ สามารถทำ HIFU ได้

A : การทำ HIFU สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยความหย่อนคล้อย ยิ่งทำเร็วยิ่งเห็นผลดี เพราะเมื่ออายุเริ่มมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง และเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ดูแก่กว่าวัย

Q : การทำ HIFU  มีผลข้างเคียงหรือไม่

A : HIFU เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย การยกกระชับผิวทำงานด้วยการยิงคลื่นอัลตร้าซาวด์เข้าไปถึงผิวชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอาจมีความรู้สึกเจ็บและปวดตึง และระหว่างทำจะมีความรู้สึกอุ่นร้อน มีความรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณใต้ชั้นผิว โดยปกติจะไม่มีอาการรุนแรงที่เป็นอันตราย

Q : อาการหน้าบวมหลังทำ HIFU  อันตรายหรือไม่

A : อาการหน้าบวมหลังทำ HIFU สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช่เครื่องเกรดดีพลังงานสูงและยิงเน้นปริเวณแก้มส่วนล่าง อาจมีอาการหน้าบวมเล็กน้อย และจะยุบลงเองภายใน 7-14 วัน หากมีอาการปวดร่วมด้วยก็สามารถประคบเย็น หรือรับประทานยาแก้ปวดได้

Q : HIFU ทำบริเวณไหนได้บ้าง

A : การทำ HIFU สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า รอบดวงตา แก้ม  หน้าผาก เหนียง รวมถึงต้นแขน ต้นขา และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
1. รอบดวงตา เพื่อช่วยแก้ปัญหาตีนกา และริ้วรอยแห่งวัย
2. แก้ม ช่วยปรับรูปหน้า แก้ปัญหาแก้มหย่อนคล้อยให้ตึงกระชับ
3. หน้าผาก แก้ปัญหารอยย่นบริเวณหน้าผาก
4. ใต้คาง แก้ปัญหาเหนียง หรือคางสองชั้น
5. ต้นแขน ช่วยแก้ปัญหาแขนใหญ่ ต้นแขนไม่กระชับ
6. ต้นขา ช่วยกำจัดเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกิน

การฉีดไขมันหน้า เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ที่ใบหน้าตอบ หน้าผากแบน ขมับตอบ ร่องแก้มลึก จนส่งผลให้ใบหน้าขาด volume ดูโทรมและเหี่ยวย่นก่อนวัย ปัจจุบันการฉีดไขมันหน้า หรือ Fat Transfer กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ทำแล้วสามารถปรับรูปหน้า ลดริ้วรอยร่องลึก เพิ่มความอวบอิ่ม ช่วยให้หน้าเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

โปรโมชั่นเติมไขมันหน้าเด็กปรับโหวงเฮ้ง หน้าสวยไได้รูป

วิธีฉีดไขมันหน้าเด็ก

การฉีดไขมันหน้าเด็ก เป็นการปลูกถ่ายเซลล์ไขมันจากร่างกายของเราเอง โดยทำการย้ายเซลล์ไขมันจากส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย แล้วนำมาฉีดกลับเข้าไปบนใบหน้าในบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม หรือสรุปให้เข้าใจง่าย ก็คือการดูดไขมันจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แล้วนำไปผ่านกระบวนการให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพ ก่อนนำไปฉีดเติมเต็มในส่วนที่บกพร่องบนใบหน้า และการฉีดไขมันหน้าเด็ก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีวิธีการฉีดที่ควรรู้ ดังนี้

ตำแหน่งในการฉีดไขมันหน้า

การฉีดไขมันหน้า สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ไม่ใช่เฉพาะบริเวณที่ต้องการเติมเต็มเพื่อเสริมใบหน้าให้อวบอิ่มเท่านั้น แต่การฉีดไขมันสามารถช่วยลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย เช่น รอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำตา ซึ่งเป็นปัญหาริ้วรอยที่ควบคุมและป้องกันได้ยาก แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดไขมันหน้าเด็ก โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดไขมันหน้าเด็กเพื่อเติมเต็มและลบเลือนริ้วรอย ได้แก่

  1. ฉีดไขมันหน้าผาก และขมับ เพื่อเพิ่มความนูนของหน้าผาก หรือช่วยให้ขมับเต็มขึ้นได้
  2. ฉีดไขมันเปลือกตา และเบ้าตา การฉีดไขมันเปลือกตาและเบ้าตา เพื่อแก้ไขปัญหาเบ้าตาลึก ซึ่งเป็นปัญหาต่อบุคลิกภาพ เพราะทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหรือดูไม่สดใส การนำไขมันของตัวเองมาฉีดเข้าไปบริเวณชั้นตาทำให้ตาดูมีมิติขึ้น
  3. ฉีดไขมันใต้ตา การฉีดไขมันบริเวณใต้ตา เป็นทางเลือกของผู้ที่มีปัญหาใต้ตาบุ๋มลึก รอบดวงตาหมองคล้ำ เพราะการฉีดไขมันหน้าช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนัง ที่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี
  4. ฉีดไขมันยกหน้าแก้ม เป็นการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาหน้าตอบ ลดริ้วรอย ร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าสวยดูเป็นธรรมชาติ แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  5. ฉีดไขมันแก้มตอบ ปัญหาแก้มตอบ ทำให้ใบหน้าดูโทรม แลดูแก่กว่าวัย การฉีดไขมันแก้มตอบเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายของเราแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก นอกจากช่วยให้ใบหน้าอวบอิ่มแล้ว  ยังช่วยให้ใบหน้าของเราดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูจางลงอีกด้วย
  6. ฉีดไขมันร่องแก้ม เป็นทางเลือกของคนที่มีปัญหาร่องลึกตามแนวปีกจมูกถึงมุมปาก ส่วนมากพบในคนสูงอายุ 
  7. ฉีดไขมันร่องน้ำหมาก ร่องน้ำหมากคือปัญหาร่องลึกตั้งแต่บริเวณมุมปากลากลงมาเป็นเส้นแนวตั้ง หรือเป็นเส้นรอยพับที่เกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณมุมปาก ลากเป็นเส้นเฉียงยาวลงมาถึงขากรรไกรล่าง การฉีดไขมันหน้าเด็ก ทำให้ร่องน้ำหมากตื้นขึ้น
  8. ฉีดไขมันคาง การฉีดไขมันคางเป็นการปรับรูปคางให้ใบหน้าดูเรียวสวย ได้สัดส่วนมากขึ้นโดยเฉพาะคนที่มีปัญหาคางไม่เรียบ

ฉีดไขมันหน้า ไขมันที่ฉีดนำมาจากส่วนใด?

ฉีดไขมัน เป็นการเติมเต็มสัดส่วนให้ดูอวบอิ่มหรือเพื่อแก้ไขความบกพร่องของรูปหน้า สามารถทำได้เกือบทุกส่วนและยังฉีดได้ทุกช่วงอายุ บริเวณที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การฉีดไขมันหน้า เช่น การฉีดไขมันเพิ่มความนูนของหน้าผาก ฉีดไขมันใต้ตา หรือฉีดไขมันร่องแก้ม ส่วนของไขมันที่นำมาฉีดเติมเต็มศัลยแพทย์จะดูดไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในจุดที่มีไขมันสะสมอยู่ปริมาณมาก ดังนี้

  • ไขมันบริเวณหน้าท้อง เป็นตำแหน่งที่มีการสะสมของไขมัน และเป็นจุดที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับ
  • ไขมันบริเวณสะโพก เป็นส่วนที่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก แพทย์นิยมนำไขมันมาฉีดเติมเต็ม เนื่องจากสะดวกในขั้นตอนการดูดออกมา
  • ไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา ไขมันบริเวณนี้เป็นจุดที่นิยมดูดไขมัน เนื่องจากเมื่อนำไปผ่านกระบวนการคัดแยกเซลล์ทำให้ได้ไขมันดี เพื่อเติมเต็มหรือแก้ไขข้อบกพร่องบริเวณใบหน้าได้ดีเช่นเดียวกัน
รีวิวเติมไขมันหน้าเด็ก-2
รีวิวเติมไขมันหน้าเด็ก-2

ปริมาณการฉีดไขมันหน้า

การเติมไขมันหน้าเด็ก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการและสามารถแก้ไขปัญหาได้ตอบโจทย์ ควรฉีดในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ล้นเกินไป เพราะจะทำให้เซลล์ไขมันตายและยุบหายไว กรณีการฉีดไขมันมากเกินไปก็จะส่งผลทำให้ชั้นผิวยืดออกและขาดความกระชับ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้เกิดริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้ง่าย สำหรับปริมาณการฉีดไขมันหน้าที่เหมาะสม เนื่องจากการเติมไขมันหน้าเป็นการปลูกเซลล์ไขมัน เพื่อให้เซลล์ไขมันมีโอกาสรอด การฉีดเซลล์ไขมันปริมาณน้อยขนาดไม่เกินจุดละ 0.01 cc โดยกระจายทั่ว ๆ ในทุกชั้นของผิว จะช่วยให้เซลล์ไขมันอยู่รอดได้มากกว่าฉีดในปริมาณมาก 

การฉีดไขมันหน้า ใช้ไขมันส่วนใดในร่างกาย

การฉีดไขมันหน้าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยและได้รับความนิยม เพราะสามารถปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูเต่งตึง แก้ไขข้อบกพร่อง ลดเลือนริ้วรอยหย่อนคล้อยได้ตอบโจทย์ผู้รับบริการโดยไขมันที่แพทย์นำมาใช้ฉีดบริเวณใบหน้า นำจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้

  1. ไขมันบริเวณสะโพก บริเวณสะโพกเป็นตำแหน่งที่แพทย์นิยมนำไขมันมาฉีดเติมเต็ม เนื่องจากเป็นส่วนที่มีมีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้สะดวกในขั้นตอนการดูดออกมา ก่อนนำไปสู่กระบวนการคัดแยกเซลล์ไขมันดี เพื่อนำมาฉีดบริเวณที่ต้องการ
  2. ไขมันบริเวณหน้าท้อง บริเวณหน้าท้องเป็นจุดที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับ เนื่องจากเป็นส่วนที่มีการสะสมของไขมัน ซึ่งเหมาะสำหรับการนำมาฉีดเติมเต็มบนใบหน้า
  3. ไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา ในส่วนของต้นแขน ต้นขา แม้จะไม่ใช่บริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มากเหมือนส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย แต่ก็เป็นจุดที่นิยมดูดไขมันเพราะสามารถนำไขมันไปผ่านกระบวนการคัดแยกเซลล์ทำให้ได้ไขมันดีมาฉีดบริเวณใบหน้า เพื่อเต็มเต็มหรือแก้ไขข้อบกพร่องได้ดีเช่นเดียวกัน

ใครบ้างเหมาะกับการฉีดไขมันหน้า

การฉีดไขมันหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณไขมันที่ใช้ฉีด ความเชี่ยวชาญของแพทย์ การดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อนและหลังฉีด และปัจจัยสำคัญได้แก่ การฉีดไขมันหน้าให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล  ดังนี้

  1. คนที่มีปัญหาร่องลึกบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าโทรม  ดูอ่อนเพลีย การฉีดไขใบหน้าสามารถบริเวณที่มีริ้วรอยร่องลึก ช่วยเพิ่มความเต็งตึงให้กับใบหน้าได้
  2. คนที่มีปัญหาริ้วรอยความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า หรือหน้าไม่กระชับ มีรอยเหี่ยวย่น การฉีดไขมันหน้า สามารถเติมเต็มช่วยลดริ้วรอยลงได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งยังปรับรูปร่างบนใบหน้าให้ดูธรรมชาติได้มากยิ่งขึ้น
  3. คนที่มีปัญหาโครงหน้า กรอบหน้า ไม่ได้สัดส่วน ต้องการปรับสัดส่วนบนใบหน้า และเติมเต็มจุดบกพร่องช่วยให้มีรูปหน้าที่สวยสมส่วน 
  4. คนที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าจากอายุที่เพิ่มขึ้น การฉีดบริเวณใบหน้าสามารถปรับความสมดุลของเซลล์ผิว และช่วยกระชับสัดส่วนคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. คนที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าแต่กลัวการผ่าตัด การผ่าตัดเป็นศัลยกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างได้ผล สำหรับคนที่กลัวการผ่าตัด สามารถฉีดไขมันหน้าเพื่อเติมเต็มและแก้ไขโครงหน้าโดยไม่มีรอยแผล

ประโยชน์ของการฉีดไขมันหน้าเด็ก

การฉีดไขมันหน้าเป็นหัตถการที่ช่วยเสริมความงาม โดยใช้เซลล์ไขมันของตนเองฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ เพื่อปรับโครงสร้างหน้า และแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าทำให้ดูเต่งตึงเป็นธรรมชาติ การการฉีดไขมันในตำแหน่งที่ต้องการ นอกจากเติมเต็มใบหน้าให้อวบอิ่มเพิ่มความกระชับให้แก่ผิวหน้า ยังมีประโยชน์ต่อบุคลิกภาพ ดังนี้

1. ทำให้หน้าเด็กลง จากการเติมเต็มไขมันที่ฝ่อหายไป

ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับบุ๋ม หน้าผากบุ๋ม และความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามวัย รวมทั้งผิวพรรณที่ขาดการบำรุงดูแล มีปัญหาผิวแห้ง ชั้นผิวหนังบางลง กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น ไขมันฝ่อหายไป ก็เป็นสาเหตุให้ใบหน้าดูมีอายุได้ การเติมไขมันจึงสามารถช่วยแก้ปัญหา ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

2. ปรับรูปหน้าให้สวยละมุนมากขึ้น

การฉีดไขมันบริเวณใบหน้าในจุดที่มีปัญหา เช่น การเติมไขมันในบริเวณขมับ และหน้าผาก รวมถึงใต้โหนก ใต้ตา นอกจากลดการมองเห็นมุมกระดูกต่าง ๆ แล้ว ยังช่วยปรับรูปหน้าให้มีความโค้งมนมีมิติ และดูสวยละมุนมากขึ้น

3. ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น ทั้งความกระชับ และเรียบเนียน

การฉีดไขมันหน้า นอกจากเป็นการนำไขมันในร่างกายของตนเองมาใช้ ทำให้มีความปลอดภัย ร่างกายไม่ต่อต้ายเพราะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม ในไขมันที่นำมาฉีดยังจะประกอบด้วยเซลล์ไขมันที่เรียกว่า AD-SVF มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ทำให้ระบบเส้นเลือดใบหน้าดีขึ้น ผิวยืดหยุ่นขึ้น รูขุมขนเล็กลง ช่วยบำรุงผิวทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น

https://www.youtube.com/watch?v=Bwgv67x5MoA

ขั้นตอนในการฉีดไขมันหน้า

การฉีดไขมันหน้าเด็ก เป็นการเติมไขมันหน้าที่สามารถเติมได้เกือบทุกตำแหน่งของใบหน้า ใช้เวลาไม่มากนักประมาณ 15-30 นาที ระยะเวลาขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณไขมัน โดยมีขั้นตอนในการฉีด ดังนี้

1. ขั้นตอนการเก็บไขมัน

การเก็บไขมันเพื่อนำมาฉีด จะมีขั้นตอนง่าย ๆ เริ่มจากการเลือกตำแหน่งเพื่อดูดไขมัน ซึ่งตำแหน่งที่มีไขมันสะสมมาก และได้ผลดี คือ บริเวณสะโพก บริเวณหน้าท้อง และบริเวณต้นแขน ต้นขา จากนั้นฉีดยาชา และเก็บไขมัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที

2. ขั้นตอนเตรียมไขมัน และแยกเซลล์ไขมัน

หลังจากดูดไขมันออกมาแล้ว  จะนำมาผ่านกระบวนการเพื่อให้เกิดการแยกชั้นเป็น น้ำมัน เซลล์ไขมัน และส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น เลือด และสารต่างไขมันที่ดูดออกมาสามารถแยกออกได้เป็น 3 ส่วนประกอบได้แก่ 

  • ไขมัน สำหรับฉีดบริเวณหน้าผาก ขมับ ร่องแก้ม
  • ไขมัน สำหรับฉีดตื้น ๆ เช่นใต้ตา ร่องแก้ม
  • ไขมัน สำหรับใช้ฉีดฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น

3. ขั้นตอนการฉีดไขมัน

ขั้นตอนการฉีดไขมัน เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ได้ แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญและต้องใช้ศิลปะในการฉีดควบคู่ไปด้วย โดยการฉีดจะเป็นการกระจายเซลล์ไขมันในลักษณะเป็นเซลล์เล็ก ๆ หลาย ๆ ชั้นผิว เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงไขมันได้ดีที่สุด เพิ่มโอกาสการติดของไขมัน และทำให้ไขมันที่ฉีดออกมา ไม่เป็นก้อน ไม่เป็นเส้น ไม่เป็นคลื่นขรุขระ เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ

สรุป

การฉีดไขมันหน้าเด็ก เป็นหนึ่งในหัตถการที่ช่วยปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูเต็งตึง ลดปัญหาความหย่อนคล้อย และบำรุงฟื้นฟูผิว ช่วยให้หน้าเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จากการฉีดไขมันอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แม้การฉีดจะมีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการฉีดไขมันตนเองเข้าไปในร่างกาย ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม วิธีฉีดและขั้นตอนในการฉีดไขมันหน้าเด็กมีความละเอียดอ่อน เพื่อผลลัพธ์ที่ดี จึงต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และให้บริการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น 

https://www.youtube.com/watch?v=EjmOqF8v-Mw&t=2s

เสริมจมูกเป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะไม่เฉพาะเรื่องของความสวยความงามเท่านั้น แต่การเสริมจมูกยังเป็นการปรับโครงสร้างจมูกให้รับกับรูปหน้า ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดี ทำให้มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น สำหรับข้อสงสัย เสริมจมูกผู้ชาย เสริมจมูกผู้หญิง แตกต่างกันไหม เมโกะ คลินิก มีคำตอบ ค่ะ

เสริมจมูกผู้ชาย เสริมจมูกผู้หญิง แตกต่างกันไหม

ปัจจุบันศัลยกรรมเสริมจมูก ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนสามารถทำได้ และยังมีหลายเทคนิควิธี ที่ช่วยให้การศัลยกรรมจมูกได้รูปทรงสวยงามเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะการเสริมจมูกผู้ชายเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น ก่อนที่เราจะรู้ว่าการเสริมจมูกผู้ชายแตกต่างจากการเสริมจมูกผู้หญิงหรือไม่ มีสิ่งที่ควรรู้ ดังนี้

เสริมจมูกผู้ชายคืออะไร ทำไมผู้ชายต้องเสริมจมูก

การเสริมจมูกผู้ชายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าผู้ชายให้ดูดี โดยทั่วไปการศัลยกรรมจมูก นอกจากเพื่อตกแต่งรูปทรงจมูกให้โด่งขึ้น สวยงามขึ้น ยังมีหลายเหตุผลในการเสริมจมูก เช่น ศัลยกรรมเสริมจมูก เพื่อแก้ไขรูปทรงจมูกที่เกิดจากความพิการตั้งแต่กำเนิด แก้ไขความผิดปกติของรูปหน้าที่เกิดจากอุบัติเหตุ และต้องการเสริมจมูกเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพปรับโหงวเฮ้งให้กับตนเอง จุดประสงค์หลัก ๆ ที่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกเสริมจมูก มี ดังนี้

1. เสริมสร้างบุคลิกภาพ ปรับเปลี่ยนตนเอง

รูปลักษณ์บนใบหน้าของคนเรามีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการทำงานที่ต้องพบปะผู้คน การเสริมจมูกของผู้ชายจึงเป็นการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น และยังเป็นแนวทางพัฒนาตนเองให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เพิ่มโอกาสในด้านหน้าที่การงาน และสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง

2. ความเชื่อเรื่องโหงวเฮ้ง

ในทางศาสตร์โหงวเฮ้ง เชื่อว่าการเสริมจมูกปรับรูปหน้าให้มีบุคลิกลักษณะตรงตามหลักโหงวเฮ้ง จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตสมบูรณ์ และสุขสบาย สำหรับคนที่มีความเชื่อเรื่องโหงวเฮ้งจะพิจารณาจากลักษณะ 5 ประการ ได้แก่ จมูก ปาก หู คิ้ว และนัยน์ตา ดังนั้นการเสริมจมูกของผู้ชายก็เป็นส่วนหนึ่งในการปรับรูปหน้าให้มีลักษณะตามหลักโหงวเฮ้ง

3. เสริมจมูกเพื่อปรับแก้ทรงจมูกที่ผิดปกติ

การผ่าตัดเสริมจมูกในลักษณะนี้ อาจเป็นการแก้ไขความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น จมูกมีลักษณะคดงอ บิดไปข้างใดข้างหนึ่ง รูจมูกหรือโพรงจมูกเบี้ยวมีขนาดไม่เท่ากัน และความผิดปกติของจมูกที่เกิดขึ้นภายหลังจากอุบัติเหตุ ได้แก่ จมูกผิดรูปทรง เบี้ยว หรือเอียง จากอุบัติเหตุ หรือจากการผ่าตัดที่ไม่ได้มาตรฐาน

4. เสริมจมูกผู้ชายตามเทรนด์นิยม

การผ่าตัดเสริมจมูก ถือเป็นเทรนด์นิยมอย่างหนึ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ นอกจากต้องการมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมีบุคลิกภาพที่ดีแล้ว กระแสความนิยมในการเสริมจมูกผู้ชายให้มีรูปทรงจมูกคล้ายดาราหรือบุคคลที่ตนเองชื่นชอบ ก็เป็นเทรนด์นิยมอย่างหนึ่ง

Not found id
ปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาความงาม
ผนังกั้นจมูก ฮัมพ์ ฐานกระดูกจมูก อยู่ตรงไหน

3 ปัญหาทรงจมูกผู้ชายที่ทำให้ต้องเสริมจมูก

เสริมจมูกผู้ชาย ผู้ชายส่วนใหญ่นอกจากอยากได้ทรงจมูกที่มีความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้จมูกที่ได้ดูเหมือนจมูกจริงของเรามากที่สุดแล้ว หลายคนยังต้องการทรงจมูกที่ดีช่วยเสริมสร้างโหงวเฮ้งให้กับใบหน้าอีกด้วย และปัญหาทรงจมูกผู้ชายที่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเสริมจมูกมี 3 ปัญหา ได้แก่ 

1. ปัญหาสันจมูก

สันจมูก เป็นปัญหาที่มีลักษณะทรงจมูกไม่ชัดเจน สันจมูกเตี้ย ไม่มีสันจมูก ทำให้จมูกไม่โด่งพุ่งและมิติของจมูกขาดหาย ถือเป็นปัญหาทรงจมูกผู้ชายที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะผู้ชายชาวเอเชีย สาเหตุจากมีโครงสร้างกระดูกที่สั้นตามลักษณะพันธุกรรมและเชื้อชาติ การเสริมบริเวณดั้งจมูกด้วยวัสดุทางการแพทย์ เช่น ซิลิโคน ช่วยทำให้จมูกดูยาวและทรงจมูกชัดขึ้น

2. ปัญหาปลายจมูก

การเสริมจมูกเพื่อแก้ไขปัญหาปลายจมูกของผู้ชายพบได้มาก เนื่องจากมีปัญหาปลายจมูกหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ ปัญหาปลายจมูกชมพู่ ปลายจมูกใหญ่ ปลายจมูกสั้น และปัญหาปลายจมูกงุ้ม ซึ่งปัญหาแต่ละรูปแบบการเสริมจมูกผู้ชายทำได้ ดังนี้

  • ปัญหาปลายจมูกชมพู่  มีลักษณะปลายจมูกกลมมนและปีกจมูกมีเนื้อมากเกินไปจนทำให้คล้ายรูปชมพู่ ส่งผลให้รูปหน้าไม่สมส่วน การผ่าตัดปรับโครงสร้างจมูกแบบโอเพ่นจะเป็นการลดขนาดปลายจมูกของผู้ชายให้มีขนาดสมส่วนเหมาะรับกับใบหน้า
  • ปัญหาปลายจมูกใหญ่ สาเหตุจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณปลายจมูกของผู้ชายบางคนมีชั้นไขมันสะสมอยู่จำนวนมาก ทำให้มีปลายจมูกที่ใหญ่ การผ่าตัดเสริมจมูกจะเป็นการศัลยกรรมเสริมจมูกไปพร้อม ๆ กับผ่าตัดเอาเนื้อไขมันปลายจมูกส่วนเกินออก
  • ปัญหาปลายจมูกงุ้ม จะมีลักษระปลายจมูกห้อยย้อยต่ำกว่าสันจมูก ทำให้รูปหน้าไม่ได้สัดส่วน ดูดุและแก่กว่าวัย การเสริมจมูกช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างเห็นผลโดยเฉพาะการใช้เทคนิคแบบเปิด ซึ่งเป็นการผ่าตัดเสริมจมูกภายนอกเพื่อปรับโครงสร้างจมูก
  • ปัญหาปลายจมูกสั้น ลักษณะปัญหาที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่ สันจมูกด้านบนบริเวณระหว่างคิ้วเตี้ยมาก และทรงจมูกจะดูเชิดจนเห็นรูจมูกได้ชัดเจน การผ่าตัดเสริมจมูกช่วยแก้ปัญหาได้ โดยศัลยแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนหลังหู เสริมเข้าไปทำให้ทรงจมูกเข้าที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากร่างกายไม่มีปฏิกิริยาในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม เพราะกระดูกหลังหูเป็นวัสดุจากร่างกายของตนเอง

3. ปัญหาฮัมพ์จมูก

ฮัมพ์จมูก คือ กระดูกส่วนกลางของจมูกที่นูนขึ้นมาคล้ายส่วนที่นูนบนหลังอูฐ โดยทั่วไปทรงจมูกธรรมชาติของผู้ชาย อาจมีฮัมพ์เล็กน้อยทำให้แลดูมีเสน่ห์ แต่ในทางตรงข้ามหากมีมากเกินไปหรือมีฮัมพ์สูงจะทำให้หน้าดูดุ บุคลิกภาพดูเป็นคนเคร่งเครียด การเสริมจมูกแบบเปิดสามารถแก้ไขให้มีรูปทรงจมูกที่เรียบเนียนได้

ความแตกต่าง ของการเสริมจมูกผู้ชายและผู้หญิง 

แม้การผ่าตัดดเสริมจมูก จะเป็นการทำศัลยกรรมบนใบหน้าที่ได้รับความนิยม และทำได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่การเสริมจมูกระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากลักษณะโครงสร้างจมูกมีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. โครงสร้างส่วนเนื้อจมูก 

ความแตกต่างของเนื้อจมูก ทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกผู้ชายส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคร่วมมากกว่า เนื่องจากเนื้อจมูกผู้ชายมีความหนามากกว่าเนื้อจมูกผู้หญิง และมีความแข็งแรงมากกว่า ทำให้เนื้อจมูกมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าเนื้อจมูกของผู้หญิง การผ่าตัดเสริมจมูกของผู้ชายจึงต้องมีการปรับแก้โครงสร้างภายในก่อนที่จะเสริมวัสดุประเภทซิลิโคนเข้าไป เช่น นำกระดูกอ่อนหลังหู หรือกระดูกอ่อนซี่โครง มาใช้ร่วมกับการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน

2. โครงสร้างส่วนกระดูกฐานจมูก 

กระดูกฐานจมูกผู้ชายส่วนใหญ่จะมีความกว้างกว่าผู้หญิง การผ่าตัดเสริมจมูกของผู้ชาย จึงนอกจากการตกแต่งกระดูกฐานจมูกให้ดูเรียวแล้ว เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมีความเป็นผู้ชาย ยังต้องคงความกว้างของกระดูกฐานจมูกไว้เล็กน้อย ลักษณะจมูกของผู้ชายจึงไม่เรียวพุ่งเท่าจมูกผู้หญิง

3. โครงสร้างส่วนปีกจมูก

ปีกจมูกผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน โดยปีกจมูกผู้ชายจะกว้างและหนากว่า การเสริมจมูกของผู้ชาย เพื่อช่วยให้องค์ประกอบของจมูกโดยรวมได้สัดส่วนสมดุลกับใบหน้า อาจจะต้องมีการปรับแต่งจมูกโดยการตัดปีกจมูกให้จมูกดูเรียวแต่ไม่เรียวเล็กเหมือนกับจมูกผู้หญิง เพื่อตกแต่งปีกจมูกทำให้ ใบหน้าดูมีมิติขึ้น

4. โครงสร้างของสันจมูกหรือฮัมพ์

ผู้ชายส่วนใหญ่จะมีฮัมพ์หรือความนูนตรงสันจมูกที่ยกตัวสูงขึ้น หากมีลักษณะสูงมากเกินไปก็จะส่งผลทำให้ใบหน้าดูดุ หรือมีบุคลิกที่เคร่งเครียด ซึ่งในผู้หญิงจะพบได้น้อยมาก การเสริมจมูกผู้ชายจึงต้องลดฮัมพ์ด้วยวิธีการตะไบฮัมพ์ ให้เรียบเนียนก่อนทำการเสริมซิลิโคน

ความแตกต่างของการเสริมจมูกผู้ชายและผู้หญิง นอกจากมีลักษณะโครงสร้างจมูกที่แตกต่างกัน ทำให้ขั้นตอนการเสริมจมูกของผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกันไปด้วย และหลังจากเสริมจมูกแล้วเมื่อมองจากด้านข้างแนวสันจมูกของผู้ชายจะมีลักษณะเป็นแนวตรง ต่างจากทรงจมูกผู้หญิงที่จะมีความโค้งหรือสโลปเล็กน้อย ทำให้ปลายจมูกพุ่ง

เสริมจมูกผู้ชาย เลือกแบบไหนดี

การเสริมจมูกผู้ชาย หลายคนอาจมีคำถามว่าควรเลือกแบบไหนดี ทำออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติ และเหมาะกับใบหน้า ในความเป็นจริงการเสริมจมูกของผู้ชายแม้จะมีความแตกต่างจากการเสริมจมูกของผู้หญิง เพราะโครงสร้างจมูกของผู้ชายแตกต่างจากผู้หญิง การใช้เทคนิคในการผ่าตัดจึงแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ในการเลือกแบบจมูกสามารถเสริมจมูกรูปทรงไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล โดยหลัก ๆ รูปทรงจมูกผู้ชายที่ได้ความนิยม มีดังนี้

1. จมูกผู้ชายทรงสโลปปลายหยดน้ำ

จมูกทรงสโลปปลายหยดน้ำ เป็นเทคนิคการเสริมจมูกผู้ชาย เพื่อให้ปลายจมูกดูงุ้มเล็กน้อยไม่ต้องยกปลายขึ้นมาก ช่วยให้ใบหน้าดูละมุนมากขึ้นไม่ดูแข็งกระด้างจนเกินไป และเป็นทรงจมูกที่พบได้มากในหนุ่มเกาหลี เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีเนื้อปลายจมูกมาก และอยากได้จมูกทรงเกาหลี

2. จมูกผู้ชายทรงสโลปปลายพุ่ง

การเสริมจมูกทรงสโลปปลายพุ่ง เป็นการยกส่วนปลายจมูกขึ้นหรือเย็บตกแต่งเนื้อปลายจมูกให้เล็กลง ช่วยลดความใหญ่ของปลายจมูกได้ ทำให้หน้าดูคมขึ้นและดูไม่แข็งเกินไป โดยปลายจมูกจะมีขนาดเล็กลง ดูพุ่ง ๆ เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีเนื้อบริเวณปลายจมูกค่อนข้างมาก

3. จมูกทรงตรง

จมูกทรงตรง เป็นทรงจมูกผู้ชายที่มีสันจมูกดูสูงตั้งแต่ช่วงระหว่างคิ้วลงมาถึงปลายจมูก การเสริมจมูกทรงนี้จะทำให้จมูกดูมีสันมากขึ้น ให้ลุคที่ดูคมเข้ม หน้าดูคม และมีมิติกว่าเดิม หมาะกับผู้ชายที่จมูกเป็นทรงตรงอยู่แล้วและปลายจมูกไม่งุ้มมาก

4. จมูกผู้ชายทรงธรรมชาติ

จมูกผู้ชายทรงธรรมชาติ เป็นการเสริมจมูกโดยมีการปรับแต่งช่วงสันจมูกตั้งแต่ระหว่างคิ้วลงมาให้สูงขึ้น โดยไม่ทำให้ปลายจมูกเชิดขึ้น หรือโค้งงอนเหมือนจมูกผู้หญิง ทำให้หน้าดูคมเข้มขึ้น

ปัญหาที่พบบ่อย หลังเสริมจมูกผู้ชาย

การเสริมจมูกทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย แม้ในบางกรณีจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันแต่ปัญหาหลังทำอาจเกิดผลข้างเคียง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ในลักษณะเดียวกัน ในส่วนของการผ่าตัดเสริมจมูกผู้ชายปัญหาที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  1. ซิลิโคนจมูกทะลุ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการเสริมจมูกผู้หญิง โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการเสริมซิลิโคนที่มีขนาดไม่พอดีกับโครงสร้างจมูก หรือเลือกใช้ซิลิโคนที่โด่งเกินไปในคนเนื้อจมูกน้อย ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือศัลยแพทย์ขาดความเชี่ยวชาญ
  2. ซิลิโคนลอย เกิดจากการผ่าตัดเสริมจมูก โดยวางซิลิโคนในตำแหน่งผิวหนังชั้นตื้นไม่ได้วางไว้ใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก ทำให้ซิลิโคนมีการขยับหรือเคลื่อนที่ได้ง่าย ลักษณะซิลิโคนลอยจะสามารถเห็นขอบซิลิโคนขยับไปมาได้ง่าย และดูลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน
  3. ปัญหาจมูกเบี้ยว จมูกเอียง เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยหลังเสริมจมูกผู้ชาย เกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ ได้แก่ การวางซิลิโคนในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม และก่อนเสริมจมูกไม่มีการแก้ไขหรือปรับแต่งซิลิโคนให้พอดีกับฐานจมูก โดยเฉพาะผู้ชายที่มีปัญหาโครงสร้างฐานจมูกเอียงอยู่แล้ว
  4. จมูกติดเชื้อ ปัญหาจมูกติดเชื้อเป็นภาวะแทรกซ้อนหลังศัลยกรรมที่เกิดขึ้นได้ ทั้งการเสริมจมูกผู้ชายและผู้หญิง ลักษณะของการติดเชื้อ จะรู้สึกปวดบริเวณรอบจมูก และมีอาการบวมผิดปกติ หากมีอาการติดเชื้อที่รุนแรงอาจมีน้ำเหลือง หรือเลือดไหลจากรอยผ่าตัดด้านในจมูก ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว

การดูแลตนเองของผู้ชายหลังการผ่าตัดเสริมจมูก

ศัลยกรรมเสริมจมูก เป็นการผ่าตัดที่ทำให้เกิดรอยแผลและมีหลายเทคนิควิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี รวมทั้งเป็นการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย และช่วยลดระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดเสริมจมูกควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  1. ระยะ 2 สัปดาห์หลังผ่าตัดเสริมจมูก ควรดูแลและห้ามแผลโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหม
  2. หลังผ่าตัดช่วง 3 วันแรกบริเวณแผลผ่าตัดอาจมีอาการบวมและมีรอยช้ำ ผู้ชายบางคนอาจมีอาการบวมจนตาปิด การดูแลทำได้โดยการประคบเย็นบริเวณหน้าผาก ตา และแก้ม 2 ข้าง ทำช่วงวันที่ 1 ถึงวันที่ 5 หลังผ่าตัดเสริมจมูก ข้อควรระวังคือการประคบต้องไม่ให้โดนจมูก
  3. การประคบหลังผ่าตัดเสริมจมูกผู้ชาย ช่วยทำให้อาการบวมช้ำลดลง โดยหลังประคบเย็นช่วง 5 วันแรก ให้ทำการประคบอุ่นต่ออีก 5 วัน
  4. หลังผ่าตัดเสริมจมูก ควรนอนหน้าตรงและหนุนศีรษะด้วยหมอนสูง งดเว้นการนอนตะแคงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อลดอาการบวมและป้องกันซิลิโคนเบี้ยวเอียง
  5. ช่วง 1 เดือนหลังศัลยกรรมเสริมจมูก ควรงดรับประทานวิตามิน อาหารที่ทำให้แพ้ เช่น อาหารทะเล อาหารหมักดอง หรืออาหารรสจัด
  6. หลังศัลยกรรมเสริมจมูก 1 เดือน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  7. วิธีทำความสะอาดรอยแผลจากการเสริมจมูก ให้ซับแผลด้วยสำลีก้านปลอดเชื้อ โดยการชุบน้ำเกลือแล้ววางไว้บนแผลให้สะเก็ดนิ่มลง จากนั้นค่อย ๆ เช็ดแผลให้สะอาด
  8. หลังผ่าตัดเสริมจมูก ในช่วง 3 วันแรก หากมีเลือดไหลออกจากแผลถือเป็นเรื่องปกติ ให้หมั่นดูแลทำความสะอาดแผลเป็นประจำทุกเช้าและเย็น จะช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น
  9. หลังผ่าตัดควรงดการออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรม เช่น การว่ายน้ำ การวิ่ง หรือเข้าฟิตเนต อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  10. ในช่วง 3 วันแรกหากมีอาการปวด บวม บริเวณแผล ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่ง โดยสามารถทานได้ทุก ๆ 4 – 6 ชั่วโมง และหากอาการปวดบวมบรรเทาลงแล้ว ควรรับประทานเฉพาะเมื่อมีอาการปวดหรือบวมเท่านั้น

เลือกเสริมจมูกผู้ชาย ที่ไหนดี

การเสริมจมูกผู้ชาย แม้จะมีขั้นตอนแตกต่างจากการผ่าตัดเสริมจมูกผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ก็มีหลายเทคนิควิธี หากต้องการผ่าตัดเสริมจมูกให้ออกมาเป็นธรรมชาติและได้ผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจ นอกจากการดูแลตนเองหลังศัลยกรรมตามคำแนะนำขอแพทย์อย่างเคร่งครัดแล้ว  การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเป็นผู้ให้บริการมีความสำคัญมาก ดังนั้นการเลือกเสริมจมูกผู้ชายที่ไหนดี มีหลักในการพิจารณา ดังนี้

  1. พิจารณาเลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีเทคนิคการเสริมจมูกผู้ชาย ที่เหมาะกับแต่ละคน
  2. คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ให้บริการต้องได้มาตรฐาน ได้รับอนุญาตให้เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง และสามารถตรวจสอบได้
  3. คลินิกที่ให้บริการ ควรมีแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้บริการ
  4. ซิลิโคนที่ใช้เสริมจมูกจะต้องได้มาตรฐานสากล เช่น ซิลิโคนเกาหลีเกรดพรีเมียม ซิลิโคนอเมริกา และอื่น ๆ
  5. เป็นคลินิกหรือศูนย์ศัลยกรรมความงาม  ที่มีอุปกรณ์เครื่องมือทันสมัย และปลอดภัย ระบบห้องผ่าตัดทันสมัย มีทีมแพทย์-พยาบาลซึ่งผ่านการอบรมตามมาตรฐาน
  6. เป็นคลินิกหรือศูนย์ศัลยกรรมความงาม  ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบถ้วน มีพื้นที่รับรอง ห้องพักฟื้น สะอาด ปลอดเชื้อ เพื่อความสะดวกสบายของคนไข้หลังการผ่าตัด
  7. คลินิกที่ได้มาตรฐาน ควรมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษา ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเสริมจมูก
  8. มีผลงานหรือมีรีวิวจากลูกค้าที่รับบริการไปแล้ว แสดงไว้ที่คลินิก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่สนใจมารับบริการ 

สรุป

ปัจจุบันเสริมจมูกผู้ชาย มีเทคนิคการเสริมจมูกหลายแบบเช่นเดียวกับการเสริมจมูกของผู้หญิง ซึ่งสามารถเลือกแบบและเทคนิควิธีเพื่อให้เหมาะกับการเสริมจมูกผู้ชายแต่ละคน ส่วนความแตกต่างระหว่างการเสริมจมูกผู้ชายและการเสริมจมูกผู้หญิง มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากลักษณะโครงสร้างจมูกของผู้ชายและผู้หญิงจะแตกต่างกัน บางกรณีทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกผู้ชายมีขั้นตอนที่มากกว่า รวมทั้งลักษณะโดยรวมหลังเสริมจมูกของผู้ชาย รูปทรงจมูกจะไม่เรียวพุ่งเท่าจมูกผู้หญิง แต่จะให้ลุคใบหน้าที่ดูคมเข้ม และมีมิติมากขึ้น ส่วนผลลัพธ์จากการเสริมจมูกจะเป็นที่พึงพอใจหรือได้รูปทรงจมูกตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เทคนิคเฉพาะที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูก คุณภาพของวัสดุหรือซิลิโคนที่ใช้ รวมทั้งความต้องการของคนไข้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจผ่าตัดเสริมจมูก สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการ เพื่อขอคำปรึกษาก่อนตัดสินใจผ่าตัดเสริมจมูก

 

การศัลยกรรมจมูก เสริมจมูก เหมาะกับทุกเพศไม่ว่าจะชายหรือหญิง ซึ่งขนาดของจมูกและวิธีต่างๆในการเสริมนั้นจะขึ้นอยู่ที่ความต้องการและความเหมาะสมของผู้ทำ ควรหาความรู้เบื้องต้น และเข้ามาปรึกษาพูดคุยกับแพทย์โดยตรงเสียก่อนเพื่อที่เราจะได้จมูกตรงตามความต้องการและไม่ผิดหวังหลังทำเสร็จนั่นเอง

ในวันนี้เมโกะก็มีบทความดีๆมานำเสนอเพื่อคลายข้อข้องใจว่า การศัลยกรรมจมูกคืออะไร เหมาะกับใครบ้าง และมีข้อควรระวังในการเสริมอย่างไร พร้อมทั้งแนะนำทรงจมูกยอดนิยมในปี 2024 ว่าจะมีทรงอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

ศัลยกรรมจมูกคืออะไร ทำไมต้องเสริมจมูก

ศัลยกรรมจมูกหรือการเสริมจมูก หมายถึงการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อตกแต่งรูปทรงจมูกให้โด่งขึ้น โดยการเสริมวัสดุ เช่น ซิลิโคน กระดูกอ่อน หรือใช้ไขมันตนเอง ซึ่งสามารถปรับรูปจมูกให้โด่งสวยตอบโจทย์ และนอกจากเรื่องของความสวยงามแล้ว การผ่าตัดเสริมจมูกยังช่วยแก้ไขปัญหาให้กับคนไข้ได้หลายรูปแบบ ทั้งจากความบกพร่องแต่กำเนิด จากอุบัติเหตุ หรือการทำจมูกแล้วไม่ได้รูปทรงตามความต้องการ ต้องการปรับโหงวเฮ้ง เช่น

  1. เสริมจมูกแก้ไขความบกพร่องแต่กำเนิด ลักษณะจมูกที่มีปัญหามาแต่กำเนิดเช่น จมูกแบนทำให้ไม่มีสันจมูก จมูกดูสั้น ปลายจมูกเงยเชิด และเห็นรูจมูกชัดเจนกว่าปกติ และยังส่งผลให้ใบหน้าส่วนบนไม่มีมิติ 
  1. ศัลยกรรมแก้ไขจมูกจากอุบัติเหตุ เช่น การผ่าตัดเสริมจมูกไปพร้อมแก้ปัญหาจมูกผิดรูป ซึ่งมีลักษณะจมูกคดงอ บิดเบี้ยว หรือบิดไปข้างใดข้างหนึ่ง อาจมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ แต่ส่วนมากมักจะเกิดมาจากการประสบอุบัติเหตุ
  2. แก้ไขการทำจมูกแล้วไม่ได้รูปทรงตามความต้องการ การผ่าตัดเสริมจมูกในลักษณะนี้คนไข้อาจไม่พึงพอใจผลลัพธ์ที่ได้จากการทำจมูก ทำให้ต้องผ่าตัดเสริมจมูกเพื่อแก้ไขรูปทรงให้ตอบโจทย์ความต้องการ หรือในกรณีที่เสริมจมูกมาแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดูแลตนเองไม่ถูกต้อง และการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้วัสดุเสริมจมูกที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้จมูกเบี้ยว ปลายจมูกอักเสบ หรือจมูกทะลุ
  3. เสริมจมูกเพื่อปรับโหงวเฮ้งบนใบหน้า สำหรับคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับศาสตร์โหงวเฮ้ง ตามตำราโหงวเฮ้ง เชื่อว่าการเสริมจมูกโด่งพอดีรับกับสัดส่วนอื่นบนใบหน้า เสริมให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้ เมื่อมีความมั่นใจแล้วก็จะช่วยเสริมในเรื่องของอำนาจ บารมี

การเสริมจมูก มีข้อควรระวังอย่างไร 

การทำจมูกหรือศัลยกรรมเสริมจมูก ปัจจัยสำคัญในการผ่าตัดเสริมจมูกให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง นอกจากขึ้นอยู่กับการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ศัลยกรรม ความเหมาะสมว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำจมูกได้หรือไม่ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ เพื่อความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ตอบโจทย์ความต้องการ ส่วนการเสริมจมูกเหมาะกับใคร ทำจมูกได้หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละเคสด้วย โดยทั่วไปมีข้อควรพิจารณา ดังนี้

  1. กรณีเป็นไข้หวัด หรือก่อนผ่าตัดเกิดแผลติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนเสริมจมูก
  2. ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน เป็นโรคหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดตีบ ควรหลีกเลี่ยงการเสริมจมูก
  3. ผู้ที่มีภาวะเป็นโรคเรื้อรัง และการเสริมจมูกอาจส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนศัลยกรรมจมูก
  4. ผู้ที่ต้องการเสริมจมูก ต้องไม่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร 
  5. การศัลยกรรมเสริมจมูก ควรมีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงวัยที่จมูกและใบหน้าเจริญเติบโตเต็มที่ ส่งผลให้การผ่าตัดเสริมจมูกได้ผลลัพธ์ที่ดี  ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น จมูกเปลี่ยนรูปทรง จากรูปหน้าที่เจริญเติบโตขึ้น

การเสริมจมูกหมาะกับใคร มีกี่แบบ

ปัจจุบันการเสริมจมูกมีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่ การเสริมจมูกแบบปิด Closed Technique และ การเสริมจมูกแบบเปิด Open Technique การเสริมจมูกแต่ละรูปแบบมีข้อดีข้อด้อยและเหมาะกับคนไข้แต่ละบุคคลแตกต่างกันไป เช่น

1. การเสริมจมูกแบบปิด

การเสริมจมูกแบบปิด เป็นการเสริมจมูกให้โด่งขึ้นด้วยการเสริมซิลิโคนหรือวัสดุอื่น ๆ เข้าไปด้านในบริเวณสันจมูกจนถึงปลายจมูก ข้อดีของการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ คือแผลผ่าตัดจะอยู่ในโพรงจมูก หลังทำจะมองไม่เห็นแผลเป็นจากการผ่าตัด ใช้เวลาพักฟื้นน้อย แต่จะได้ทรงจมูกไม่พุ่งมากนัก การเสริมจมูกแบบปิดเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้

  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความโด่ง ความพุ่งของจมูกเพียงเล็กน้อย
  • คนไข้ ที่ไม่ต้องการใช้เวลาพักฟื้นนานมากนัก โดยเฉพาะคนที่ทำงานประจำ
  • คนไข้ที่ไม่เคยเสริมจมูกมาก่อน เสริมจมูกเป็นครั้งแรก และไม่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างจมูก
  • คนที่ไม่ต้องการให้เห็นรอยแผลผ่าตัด เพราะการเสริมจมูกแบบปิดจะซ่อนแผลผ่าตัดในรูจมูก ทำให้ไม่เห็นรอยแผล

2. การเสริมจมูกแบบเปิด

การเสริมจมูกแบบเปิดเป็นการผ่าตัดปรับโครงสร้างจมูก โดยใช้วัสดุธรรมชาติภายในร่างกายของคนไข้ เช่น กระดูกอ่อนหลังหู กระดูกอ่อนแกนจมูกและกระดูกอ่อนซี่โครง มาเสริมจมูกให้โด่งได้รูป และการผ่าตัดจะมีแผลผ่าตัดอยู่ทั้งในและนอกจมูก เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาต่อไปนี้

  • คนที่ต้องการผ่าตัดแก้ไขจมูก เช่น ปลายจมูกใหญ่ต้องการแก้ไขให้เล็กสวยได้รูป
  • เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการมีปลายจมูก โด่ง และพุ่งมากเป็นพิเศษ
  • การเสริมจมูกแบบเปิด เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของจมูกร่วมด้วย เช่น จมูกสั้นเกินไป จมูกงุ้ม ดั้งจมูกโค้ง โก่ง งอ
  • เหมาะกับคนที่มีโครงสร้างสันจมูกนูน ฮัมพ์สูง จมูกกว้าง ฐานจมูกใหญ่ ไม่ได้สัดส่วน

การเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และยังเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครก็ทำกันได้ นอกจากมีคลินิกหรือศูนย์ศัลยกรรมความงามเปิดให้บริการอยู่มากมาย มีหลายราคาและหลายรูปแบบให้เลือก แต่การเสริมจมูกให้มีความปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดี ทำแล้วเหมาะกับรูปหน้า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ก็คือการศึกษาข้อมูลและรู้ว่าศัลยกรรมจมูก คืออะไร ทำไมต้องเสริมจมูก การเสริมจมูกมีข้อควรระวังอย่างไร การทำเหมาะกับใครและมีกี่รูปแบบ

https://www.youtube.com/watch?v=s5AbDjputa4

ทรงจมูกที่นิยม ทำออกมาแล้วสวยเป็นธรรมชาติ 2024

ทรงจมูกที่สวย ทำออกมาแล้วสวยเป็นธรรมชาติมีหลายรูปทรง โดยทั่วไปการศัลยกรรมจมูก แพทย์มักแนะนำให้คนไข้เลือกทรงที่ชอบและมีความสมดุลรับกับใบหน้า ในปี 2024 ทรงจมูกที่เป็นเทรนด์นิยมและน่าสนใจ มีดังนี้

1. ทรงจมูกสไตล์เกาหลี

จมูกสไตล์เกาหลี คือรูปทรงจมูกที่เป็นเทรนด์นิยมของคนไทย ด้วยรูปทรงที่มีลักษณะปลายมนงุ้มเล็กน้อย สันจมูกเรียวปลายพุ่งไม่โด่งมากนัก ดูละมุนไม่เป็นแท่งทำให้มีความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ การศัลยกรรมจมูกทรงนี้ช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูหวานละมุน 

2. จมูกทรงหยดน้ำ

จมูกทรงหยดน้ำ เป็นอีกหนึ่งทรงจมูกที่ได้รับความนิยม การเสริมจมูกทรงหยดน้ำช่วยทำให้โครงสร้างใบหน้าดูเรียวยาวมากขึ้น คนที่เหมาะสำหรับเสริมจมูกทรงหยดน้ำควรมีรูปจมูกยาวและมีเนื้อที่ปลายจมูกหนาพอสมควร หรือหากมีเนื้อจมูกน้อย ควรขอคำแนะนำจากแพทย์เพื่อเลือกเทคนิคที่ช่วยให้การเสริมจมูกได้ผลลัพธ์ที่ดี

3. จมูกทรงสโลปปลายเชิด

ทรงจมูกสโลปปลายเชิด หรือนิยมเรียกจมูกสายฝอ เพราะจุดเด่นในการเสริมจมูกจะเน้นไปที่ความโด่งและความคมของสันจมูก ตามสไตล์ฝรั่ง ปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย ทำให้ภาพรวมใบหน้าดูสวยคมและดูเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น

4. จมูกทรงสโลปปลายบาร์บี้

จมูกทรงสโลปปลายบาร์บี้ เป็นการเสริมจมูกโดยใช้เทคนิคการผ่าตัดแบบ Open Rhinoplasty จุดเด่นของการเสริมจมูกทรงนี้ อยู่ที่จมูกมีสันสโลปและเรียวรับกับหน้าผาก ปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวาน เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกและมีฐานกว้าง เมื่อเสริมแล้วจะทำให้สัดส่วนบนใบหน้าสวยสมดุล

5. ทรงจมูกปลายกลม สันคม เรียวยาว

ทรงจมูกตามเทรนด์นิยม ไม่ใช่เฉพาะการผ่าตัดเสริมจมูกให้โด่งสวยตามรูปทรงที่ต้องการเท่านั้น การเสริมจมูกเพื่อปรับโหงวเฮ้ง ก็เป็นที่นิยม ทรงจมูกปลายกลม สันคม เรียวยาว เป็นทรงจมูกที่หลักโหงวเฮ้ง เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับอำนาจบารมี คนที่เสริมจมูกรูปทรงนี้ปลายจมูกจะดูใหญ่เล็กน้อย ทำให้ดูน่าเกรงขาม และน่าเคารพนับถือ 

สรุป

สำหรับทรงจมูกที่กำลังมาแรงและเป็นเทรนด์นิยมในปี 2024 มีหลายรูปทรง จมูกแต่ละทรงมีเทคนิคที่แตกต่างกันรวมทั้งเหมาะกับแต่ละบุคคล ทั้ง 6 รูปทรงเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น เมื่อได้ทรงจมูกที่ชื่นชอบและตอบโจทย์ความต้องการ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเพื่อให้สามารถออกแบบทรงจมูกและเลือกเทคนิคที่เหมาะกับพื้นฐานจมูกของเราได้มากที่สุด

ศัลยกรรมเสริมความงามจมูก เป็นกระบวนการที่มีความละเอียดซับซ้อน นอกจากแพทย์จะต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดแล้ว การดูแลตัวเองของคนไข้ก่อนผ่าตัดศัลยกรรมมีความสำคัญมาก เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง การเตรียมตัวและดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้มากที่สุด สำหรับมีขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนศัลยกรรมเสริมจมูก มีดังนี้

การเตรียมตัวก่อนศัลยกรรมเสริมจมูก

ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกเสริมจมูก ปัญหารูปหน้า และแบบจมูกที่ต้องการ

  1. พิจารณาปัญหารูปหน้า รูปจมูก และรับรู้ว่าส่วนไหนที่เราไม่พอใจเช่น จมูกงุ้ม จมูกใหญ่ จมูก ไม่โด่ง เพื่อแก้ปัญหาได้ถูกจุด
  2. มีรูปแบบจมูกที่ต้องการ เพื่อให้ข้อมูลและแจ้งความต้องการต่อศัลยกรรมแพทย์ ทำให้เราทราบข้อจำกัด หรือความเป็นไปได้ในการเสริมจมูกตามรูปแบบที่เราต้องการ
  3. ศึกษาข้อมูลโรงพยาบาล หรือคลินิกรับทำศัลยกรรมจมูก ที่ได้มาตรฐานมีผลงานเป็นที่ยอมรับ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

แจ้งประวัติส่วนตัวให้ศัลยแพทย์ทราบก่อนผ่าตัดเสริมจมูก

  1. แจ้งประวัติการแพ้ยาทุกชนิด 
  2. แจ้งโรคประจำตัวที่เป็น เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  3. แจ้งยาที่กำลังรับประทานอยู่ทุกชนิด รวมถึงวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิด

การปฏิบัติตัวก่อนศัลยกรรมเสริมจมูก

  1. หยุดรับประทานยา อาหารเสริม และวิตามินต่าง ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
  2. งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ก่อนทำศัลยกรรม อย่างน้อย 1 – 2  สัปดาห์
  3. ดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์
  4. งดการรับประทานยาแก้ปวด แก้อักเสพก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะเป็นกลุ่มยาที่กระตุ้นการไหลเวียนเลือด อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าและเป็นอันตรายได้
  5. งดการผ่าตัดในช่วงที่เป็นหวัด ไอ เป็นไข้ หรือป่วย
  6. หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงมีประจำเดือน
  7. สวมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ มีกระดุมด้านหน้าที่สะดวกต่อการเปลี่ยนเสื้อผ้าและใส่รองเท้าส้นเตี้ยมาในวันผ่าตัด
  8. งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  9. งดใส่คอนแทคเลนส์ ฟันปลอม (ถ้าถอดได้) หรือหากมีฟันโยก ฟันครอบ ควรแจ้งแพทย์วิสัญญีหรือพยาบาลรับทราบ และไม่นำของมีค่าติดตัวมา
  10. แนะนำให้มีญาติมากับผู้ป่วยในวันผ่าตัด และควรมีญาติดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด งดขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักรใดๆภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
  11. งดรับประทานอาหารเสริมวิตามินทุกชนิดและยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งของเลือด เช่น แอสไพริน ก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  12. กรณีมีโรคประจำตัวและยาที่รับประทานเป็นประจำที่ ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาโรคก่อนรับการผ่าตัด

ก่อนการผ่าตัด วิเคาห์ใบหน้าอย่างละเอียด

การเตรียมตัวในวันผ่าตัดเสริมจมูก

  1. กรณีที่ต้องผ่าตัดเสริมจมูก โดยการดมยาสลบ ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด 
  2. การผ่าตัดเสริมจมูกแบบใช้ยาชา ไม่จำเป็นต้องอดอาหารสามารถรับประทานได้ตามปกติ แต่ควรเป็นอาหารอ่อน ๆ
  3. ควรสวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ สบาย ๆ สามารถถอดได้ง่าย
  4. งดแต่งหน้า เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  5. ต้องมาถึงคลินิกก่อนเวลาผ่าตัดจริง 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมเอกสารและเตรียมตัวในการผ่าตัด
  6. แจ้งประวัติแพ้ยา โรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์เจ้าของไข้รับทราบ
  7. รับยาและอุปกรณ์ล้างแผล
  8. เปลี่ยนชุดและล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่ เมโกะ เตรียมไว้ให้
  9. เข้าห้องผ่าตัด การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่เคส
  10. นอนพักหลังผ่าตัด 1-2 ชั่วโมง พร้อมประคบเย็น เพื่อห้ามเลือดและลดอาการบวม
  11. พยาบาลและทีมแพทย์จะประเมินอาการหลังผ่าตัด หากปกติดี ก็สามารถกลับบ้านได้

การปฏิบัติตัวหลังศัลยกรรมผ่าตัดเสริมจมูก

  1. หลีกเลี่ยงการโดนน้ำที่บริเวณแผลผ่าตัด
  2. ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
  3. วันที่ 1-3 ประคบเย็น+นอนหมอนสูง
  4. ล้างแผลทุกวันจนถึงวันตัดไหม
  5. 1 เดือนแรก งดอาหารหมักดอง กะปิ ปลาร้า วิตามิน อาหารเสริม แอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อป้องกันแผลคัน แผลนูนและแผลอักเสบ
  6. หากมีอาการผิดปกติ เช่น แผลอักเสบบวมแดง มีไข้ ให้รีบติดต่อทางคลินิกทันที
  7. วันที่ 1-14 นัดตัดไหม+นัดตรวจ (ขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา)
  8. วันที่ 14, 30 นัดตรวจเช็คอาการ

การผ่าตัดเสริมจมูก สิ่งที่คนไข้ส่วนใหญ่กังวลใจก็คือค่าใช้จ่ายในการเสริมจมูก และเข้าใจว่าราคาแพงกว่าย่อมดีกว่าด้วย เพราะนอกจากเรื่องของความสวยความงาม ทำแล้วไม่ต้องแก้ได้รูปทรงสวยตามแบบที่ต้องการ ยังมีเรื่องของความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากซิลิโคนที่ไม่ได้คุณภาพ หรือปัญหาอื่น ๆ เสริมจมูก ราคาที่แตกต่างกันพิจารณาได้จากปัจจัยต่อไปนี้

1. เทคนิคและรูปแบบในการผ่าตัดเสริมจมูก

  • การเสริมจมูกแบบปิด เป็นเทคนิคการผ่าตัดจากด้านในเพื่อเสริมซิลิโคนที่มีให้คนไข้เลือก 2 แบบ ได้แก่ซิลิโคนแบบแท่งและแบบทรงตัวแอล ราคาเสริมจมูกไม่แพงมากนัก เริ่มต้นต่ำกว่าหลักหมื่นไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับประเภทของซิลิโคนที่ใช้ 
  • การเสริมจมูกแบบเปิด เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างของจมูก และใช้กระดูกหลังหูหรือ กระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงของคนไข้แทนซิลิโคน วิธีนี้ต้องมีการวางยาสลบด้วยวิสัญญีแพทย์ ทำให้ราคาแพง เริ่มต้นจากหลักหมื่นถึงหลายแสนบาท เพราะการผ่าตัดมีความยากใช้เวลานาน แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์
  • การผ่าตัดเสริมจมูก หรือแก้จมูก โดยใช้กระดูกอ่อนหลังหูหรือเนื้อเยื่อเทียม เป็นการใช้เทคนิคพิเศษ ซึ่งต้องทำโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง การเสริมจมูกจึงมีราคาแพงกว่าเทคนิคอื่น ๆ ราคาเริ่มต้นหลายหมื่นบาท จนถึงหลักแสนต้น ๆ  

2. วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก

  • การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน ราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับคุณภาพของซิลิโคนที่ใช้ โดยทั่วไปราคาต่ำกว่าหลักหมื่น ถึงหลักหมื่น
  • การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อของตนเอง จะมีราคาแพงกว่าซิลิโคนเนื่องจากมีความยุ่งยากและทำโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ บางคลินิกมีเทคนิคเฉพาะ ราคาเริ่มจากหลายหมื่นบาท ถึงหลักแสนต้น ๆ

3. เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์

ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีการเพิ่มพูนความรู้ใหม่ หรือมีเทคโนโลยีและเทคนิคเฉพาะที่ใช้ในการผ่าตัดเสริมจมูก ราคาก็จะแพงขึ้น

4. ความยาก ง่าย ในการผ่าตัดเสริมจมูก

การผ่าตัดเสริมจมูกที่มีการแก้จมูก หรือแก้ไขปัญหาจากที่เคยเสริมจมูกด้วยวิธีอื่น ๆ มาก่อนนั้น ย่อมมีความยากกว่าการเสริมจมูกทั่วไป ราคาก็จะแพงกว่า

5. ความต้องการของคนไข้  

ความต้องการหรือปัญหาของคนไข้แต่ละคนแตกต่างกัน รวมถึงรูปทรงจมูกที่ชอบ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาเสริมจมูกถูกแพงแตกต่างกัน เพราะแต่ละความต้องการต้องใช้เทคนิคการผ่าตัดหรือวัสดุที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ทรงจมูกโด่งสวยรับกับใบหน้า