การผ่าตัดเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมที่ทำให้โครงสร้างของใบหน้าดูดี ดูสวยโดดเด่น ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ ทำให้มั่นใจในตนเองยิ่งขึ้น และยังเป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยม ปัจจุบันการผ่าตัดเสริมจมูก มีความปลอดภัยสูง ราคาขึ้นอยู่กับเทคนิควิธี วัสดุที่ใช้ และมีหลายราคาให้เลือก
ศัลยกรรมเสริมจมูก ราคาเท่าไหร่
การเสริมจมูกมีหลายระดับราคา ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นหรือหลายแสนบาท ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ เช่น ขึ้นอยู่กับปัญหาโครงสร้างจมูกเดิมของคนไข้ เทคนิคในการผ่าตัด วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก ความต้องการของคนไข้ในการเลือกรูปทรงจมูกและสถานที่ทำ ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของแพทย์และคลินิกที่ให้บริการ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการกำหนดราคาการทำจมูก ดังนี้
เทคนิคในการผ่าตัดเสริมจมูก
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์และการศัลยกรรมความงามเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้การเสริมจมูกมีเทคนิควิธีให้เลือกมากกว่าเดิม คนไข้สามารถเลือกเทคนิคให้เหมาะกับรูปทรงจมูกที่ต้องการได้ โดยศัลยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและเลือกวิธีที่เหมาะกับคนไข้ให้มากที่สุด หลัก ๆ การเสริมจมูกมีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่ การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty) และ การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) ทั้งสองรูปแบบมีข้อดีข้อด้อยและราคาที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty)
การเสริมจมูกแบบปิดเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมานานแล้ว เพราะเป็นเทคนิคการผ่าตัดจากด้านใน โดยใส่ซิลิโคนแบบที่เป็นแท่งตรงหรือแบบทรงตัวแอลเข้าไปบริเวณสันจมูกจนถึงปลายจมูก ทำให้รอยแผลที่ได้มีขนาดเล็ก ข้อดีของการเสริมจมูกแบบปิด นอกจากแผลเล็ก ใช้เวลาทำไม่นาน เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจมูก แผลผ่าตัดบวมช้ำน้อย พักฟื้นได้ไว ได้รูปทรงจมูกที่สวยเป็นธรรมชาติ และราคาไม่แพงมากนัก อยู่ที่หลักหมื่นไปจนถึงหลายหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับประเภทของซิลิโคนที่ใช้ เช่น ซิลิโคน อเมริกา หรือซิลิโคน เกาหลี และ หัตถการร่วม เช่น การตะไบ รองปลายด้วยเนื่อเยื่อจากร่างกายตนเอง
2. การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty)
การเสริมจมูกแบบเปิด คือเทคนิคศัลยกรรมจมูกที่มีการพัฒนาจนเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างของจมูกโดยตรง ด้วยการใช้กระดูกอ่อนหลังหู หรือ กระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงของคนไข้แทนซิลิโคน เพื่อนำมาเป็นโครงสร้างของจมูกที่จะเสริมใหม่ ข้อดีของการเสริมจมูกแบบเปิด นอกจากสามารถแก้ปัญหาทรงจมูกได้ตรงจุด ปรับตกแต่งเสริมจมูกได้หลายทรง ปลอดภัย เพราะเป็นกระดูกอ่อนในร่างกาย ยังได้ทรงจมูกที่สวย โครงสร้างจมูกแข็งแรง แต่ข้อด้อยของการเสริมแบบเปิด คือราคาแพงหลายแสนบาท บางคลินิกราคาสูงตั้งแต่ 100,000 – 500,000 บาท เนื่องจากเป็นการปรับโครงสร้างจมูกภายใน การผ่าตัดค่อนข้างยากใช้เวลานาน แพทย์ต้องที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เป็นตัวกำหนดราคาเสริมจมูกให้ถูกแพงแตกต่างกัน โดยทั่วไปวัสดุที่ใช้เสริมจมูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อของตนเอง และซิลิโคนเสริมจมูก
1. การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อของตนเอง
กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อ เช่น กระดูกอ่อนหลังหู กระดูกซี่โครง ไขมัน เนื้อเยื่อก้นกบ เป็นวัสดุเสริมจมูกที่ได้จากร่างกายของคนไข้เอง จึงปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้หรือจมูกทะลุได้ดี แต่มีราคาแพง เช่น การเสริมจมูกโดยการรองปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหู หรือรองปลายด้วยเนื้อเยื่อ ราคาเริ่มต้นที่หลักหมื่นจนถึงหลายหมื่นบาท
2. การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนจมูก
ซิลิโคนเสริมจมูก เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมและมีด้วยกัน 2 แบบได้แก่ ซิลิโคนสำเร็จรูปลักษณะจะมีการขึ้นแบบมาหลายทรงแตกต่างกันไป การเสริมจมูกจะนำไปวางครอบให้แนบแน่นบนฐานโครงสร้างจมูก และซิลิโคนจมูกแบบเหลาเอง ลักษณะจะเป็นบล็อคสี่เหลี่ยม การนำไปเสริมจมูกจะต้องใช้ความชำนาญของแพทย์ในการเหลาให้ได้รูปทรงตามแบบที่ต้องการ ซิลิโคนเป็นวัสดุเสริมจมูกที่มีหลายเกรด เช่น ซิลิโคน USA ลักษณะเนื้อเนียนละเอียด นิ่มปานกลาง หรือซิลิโคน KR มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทรงจมูกเกาหลีที่ดูเป็นธรรมชาตี ราคาการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนขึ้นอยู่กับคุณภาพและเกรด ราคาเริ่มต้นมีตั้งแต่ต่ำกว่าหลักหมื่น จนถึงหลายหมื่นบาท
ปัญหาและความต้องการของคนไข้
ปัญหาและความต้องการของคนไข้ เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลทำให้ราคาเสริมจมูกแตกต่างกัน เช่น คนไข้ที่ไม่พึงพอใจผลลัพธ์จากการทำจมูกครั้งแรก หรือเสริมจมูกแล้วเกิดการบิดเบี้ยว จมูกทะลุ เมื่อต้องการแก้ไข ราคาในการแก้จมูกจะสูงกว่าเสริมจมูก รวมทั้งเทคนิคที่คนไข้เลือกทำ การเลือกเดินทางไปทำต่างประเทศ เช่น การเสริมจมูกที่ประเทศเกาหลี ก็ทำให้ราคาแตกต่างกันด้วย
การเลือกคลินิก และประสบการณ์ของแพทย์
แม้ว่าจะเป็นคลินิกเสริมจมูกที่อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน เป็นคลินิกเดียวกันแต่ปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคลแตกต่างกัน ราคาเสริมจมูกก็จะแตกต่างกันได้ รวมทั้งคลินิกที่มีศัลยแพทย์ให้บริการหลายคน ราคาเสริมจมูกของแพทย์แต่ละคนอาจแตกต่างกันได้เช่นกัน โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์ ผ่าตัดเสริมจมูกมากกว่า 10 ปี มีการอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ มีเทคนิคเฉพาะในการเสริมจมูก แก้จมูก ปรับแต่งทรงจมูกสวย ราคาก็จะแพงขึ้นตามประสบการณ์
เสริมจมูก ราคาเท่าไหร่ สวย ปลอดภัย ไม่ต้องแก้
การเสริมจมูก นอกจากการใช้ซิลิโคนจมูกและกระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อของตนเอง ให้เลือกใช้ตามปัญหาหรือความต้องการของคนไข้แล้ว ยังมีเทคนิคเฉพาะในการเสริมจมูก ที่ช่วยให้คนไข้ได้ทรงจมูกสวยตรงตามความต้องการ แต่การเสริมจมูกหรือคนไข้ที่ต้องการแก้ไขจมูกมักมีข้อสงสัยเกี่ยวกับราคา และเข้าใจว่าราคาแพงกว่า เสริมแล้วสวย ปลอดภัย ไม่ต้องแก้ หรือยิ่งแพงยิ่งดีกว่า สำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาเสริมจมูก พิจารณาได้ ดังนี้
เสริมจมูก ราคาแพง สวย ปลอดภัย ไม่ต้องแก้ จริงหรือไม่
ศัลยกรรมจมูกหรือการเสริมจมูก ราคาค่าศัลยกรรมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งวัสดุที่ใช้และเทคนิคของศัลยแพทย์ รวมทั้งปัญหาของคนไข้แต่ละคนที่การแก้จมูกมีความยุ่งยากซับซ้อน ราคาย่อมแพงกว่าการผ่าตัดเสริมจมูกแบบอื่น ดังนั้นราคาถูกหรือแพงอาจไม่ใช่เกณฑ์ตัดสินผลลัพธ์การเสริมจมูกที่ได้ว่าจะสวย ปลอดภัย และไม่ต้องแก้ แต่สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเสริมจมูก เพื่อให้สวยอย่างปลอดภัย และไม่ต้องแก้ มีดังนี้
- ศึกษาข้อมูลมาก ๆ ทั้งความน่าเชื่อถือของคลินิกที่ให้บริการมีมาตรฐานหรือไม่ เป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการอย่างถูกต้อง
- ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของทีมศัลยแพทย์
- เทคนิคเฉพาะของคลินิกหรือทีมแพทย์ ในการผ่าตัดเสริมจมูก
- ความทันสมัยของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการเสริมจมูก
- ซิลิโคนที่ใช้เสริมจมูก เกรดดี มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล
เสริมจมูก สวย ปลอดภัย ควรเลือกที่คลินิก หรือราคา
การผ่าตัดเสริมจมูกมีหลายระดับราคา มีตั้งแต่ราคาหลักพัน ราคาหลักหมื่น ไปจนถึงหลายหมื่นบาท และหลักแสนต้น ๆ สำหรับการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนส่วนใหญ่ราคาไม่แพงมาก เนื่องจากซิลิโคนมีหลายเกรด ส่วนซิลิโคนเกรดดีมีคุณภาพราคาจะไม่ถูกหรือแพงแพงจนเกินไป การเสริมจมูกราคาแพงหลายหมื่นบาทถึงหลักแสน ส่วนใหญ่เป็นการเสริมจมูกโดยใช้กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อของตนเอง หรือใช้เทคนิคพิเศษที่เป็นเทคนิคเฉพาะของแพทย์และคลินิกนั้น ๆ และอาจทำจมูกร่วมกับการแก้ไขปัญหาจากการศัลยกรรมจมูกมาแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ หรือมีปัญหาจมูเบี้ยว จมูกทะลุ ทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกมีความยุ่งยากหลายขั้นตอน และต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญ การเสริมจมูกให้สวย ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ทำแล้วไม่ต้องกลับมาแก้อีก จึงควรพิจารณาเลือกราคาที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
เสริมจมูก แก้จมูก ทำไมต้องที่ mekoclinic
- เมโกะ เป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ได้รับอนุญาตเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ
- เมโกะ คลินิก ก่อตั้งเมื่อปี 1982 โดย นายแพทย์มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ แพทย์เวชปฏิบัติเพื่อการเสริมความงาม ผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการศัลยกรรมว่าเป็นศัลยแพทย์ ที่สามารถสรรสร้างจมูกที่ดูสวยเป็นธรรมชาติ ผสมผสานกับการดูศาสตร์โหงวเฮ้งของใบหน้า และเป็นผู้นำตลอด 40 ปี
- คลินิกมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยเฉพาะ และได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
- เมโกะ คลินิก เป็นคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และมีเคสยืดจมูก มากสุดอันดับ 1 ของเอเชีย ทำให้มั่นใจได้ว่าการเสริมจมูกมีความปลอดภัย สวย ได้รูปทรงตรงใจ ไม่ต้องแก้
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมจมูกและแก้จมูกที่สั้นเนื้อน้อยให้สโลปพุ่งสวยได้ ด้วยเทคนิคยืดจมูกด้วยเนื้อก้นกบ
- อุปกรณ์เครื่องมือทันสมัย และมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเสริมจมูก
สรุป
ผ่าตัดเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมปรับแต่งทรงจมูกที่มีหลายเทคนิควิธี การเสริมจมูกราคาแต่ละคลินิกหรือค่าใช้จ่ายในการเสริมจมูกของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งเทคนิคเฉพาะของแต่ละคลินิก วัสดุที่ใช้เสริมจมูก ความเชี่ยวชาญของทีมศัลยแพทย์ รูปทรงจมูกและปัญหาของคนไข้ ดังนั้นการเสริมจมูกให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จมูกสวย ได้รูปทรงตรงใจ สวย ปลอดภัย ไม่ต้องแก้ ราคาถูกหรือแพงอาจชี้วัดไม่ได้แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ความสำคัญได้แก่การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ได้รับอนุญาตถูกต้องมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และมีศัลยแพทย์วิชาชีพเป็นผู้ให้บริการ
ร่วมรวมคำถามที่ถูกถามเข้ามาบ่อยเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมจมูก เช่น หลังเสริมจมูกพักฟื้นนานไหม,วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก, หลังเสริมจมูกสามารถออกกำลังกายได้เมื่อไหร่ และการเสริมจมูกสามารถอยู่ได้ถาวรหรือไม่ เป็นต้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเสริมจมูก
1. คำถาม : ระยะพักฟื้นหลังการเสริมจมูก ใช้เวลานานแค่ไหน
คำตอบ : การพักฟื้นหลังเสริมจมูกใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใช้อะไรในการเสริมจมูก กรณีเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหรือซิลิโคนใช้ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และหายเป็นปกติได้รูปทรงจมูกตามที่ต้องการเมื่อผ่านไป 3-6 เดือน
2. คำถาม : กรณีทำงานประจำ การเสริมจมูกควรลาพักฟื้นกี่วันดี
คำตอบ : เสริมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมที่ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หลังการศัลยกรรมคนไข้จะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง เพื่อช่วยฟื้นฟูและทำให้ผลลัพธ์ของการเสริมจมูกออกมาสวยงามตามที่วางแผนไว้ ควรหยุดงานหรือลาพักอย่างน้อย 3 – 5 วัน
3. คำถาม : วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีอะไรบ้าง
คำตอบ : วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ใช้อวัยวะจากร่างกายของตัวเอง เช่น กระดูกอ่อนกระดูกซี่โครง กระดูกอ่อนหลังหู เนื้อเยื่อก้นกบ หรือไขมัน และ การใช้ซิลิโคน ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์เช่นเดียวกับการใช้ลิ้นหัวใจเทียมเสริมเข้าไป
4. คำถาม : การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน อยู่ได้ถาวรหรือไม่
คำตอบ : การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน ทั้งแบบสำเร็จรูปเป็นรูปทรงจมูกตามแบบพร้อมใส่เข้าไปในจมูก และแบบแท่งโดยแพทย์นำมาเหลาขึ้นรูปเองให้เหมาะสมและรับกับใบหน้าของแต่ละคนก่อนใส่เข้าไปในจมูก หากเป็นซิลิโคนจมูกที่ผลิตได้มาตรฐานทางการแพทย์ ให้บริการโดยแพทย์วิชาชีพจากคลินิกที่ได้รับอนุญาต จดทะเบียนถูกต้อง หลังเสริมจมูกจะได้รูปทรงจมูกที่สวยงามตามที่ต้องการ ซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมสามารถอยู่ได้ตลอดไป โดยไม่ต้องทำการเปลี่ยนหรือแก้ไข อยู่ได้ถาวรตลอดชีวิต
5. คำถาม : การเสริมจมูก อายุเท่าไหร่สามารถทำได้
คำตอบ : การเสริมจมูก สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเนื่องจากเป็นช่วงที่กระดูกโครงสร้างเจริญเติบโตเต็มที่ เมื่อทำศัลยกรรมแล้วรูปทรงที่ได้ก็จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หากต้องการศัลยกรรมเสริมจมูกก็สามารถทำได้ แต่ผู้ปกครองควรรับรู้และอนุญาตให้เสริมจมูก
6. คำถาม : กรณีเคยฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกมาก่อน สามารถเสริมจมูกได้หรือไม่
คำตอบ : สำหรับคนไข้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์แท้ที่สลาย 100 % แล้วสามารถเสริมจมูกได้เลย กรณีที่ยังมีฟิลเลอร์อยู่ ควรฉีดสลายก่อน มิฉะนั้นขั้นตอนการเสริมจมูกแพทย์จะต้องขูดฟิลเลอร์ออกก่อน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
7. คำถาม : หลังผ่าตัดเสริมจมูก สามารถออกกำลังกายได้เมื่อไร
คำตอบ : สามารถออกกำลังกายได้หลังผ่าตัด 1 เดือน และควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงหรือเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
8. คำถาม : หลังผ่าตัดเสริมจมูก สามารถแต่งหน้าได้เมื่อไร
คำตอบ : หลังเสริมจมูก สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ และสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอม เช่น เครื่องสำอาง เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาจทำให้แผลหายช้า ระยะเวลาที่สามารถแต่งหน้าได้ ควรการหลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
9. คำถาม : การเสริมจมูก รอยเขียวช้ำจะจางเมื่อไร
คำตอบ : อาการบวมที่แผลหลังเสริมจมูก และรอยเขียวช้ำบริเวณจมูกหรือใต้ตาจะเริ่มยุบลงภายใน 7 วัน และจะยุบลงอย่างเห็นได้ชัด ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นกับแต่ละบุคคล
10. คำถาม : อาหารที่ห้ามรับประทานหลังผ่าตัดมีอะไรบ้าง
คำตอบ : อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง และห้ามรับประทานหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เช่น อาหารหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารเผ็ดร้อน รสจัดจ้าน อาหารทะเล (บางคนมีอาการแพ้) และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อยและมีถุงใต้ตา หรือปัญหาผิวแห้ง เป็นสัญญาณแห่งวัยที่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะปัญหารอบดวงตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด แต่อายุก็เป็นเพียงตัวเลขได้ หากใครกังวลใจกับริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย บทความนี้ เมโกะ คลินิก มีวิธีแก้ปัญหาด้วยการฉีด Filler ใต้ตา และฉีด Botox ลดริ้วรอย มาแนะนำค่ะ
Filler และ Botox แก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น หรือปัญหาผิวแห้งต่าง ๆ ได้จริงไหม
การแก้ปัญหาริ้วรอย ริ้วรอยใต้ตา รอยเหี่ยวย่นหางตา หรือรอยตีนกา ปัจจุบันทำได้ไม่ยากและมีหลายวิธีให้เลือก เช่น Filler หรือโบท็อกลดริ้วรอย ที่สามารถขจัดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล และเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เราต้องทราบก่อนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา และริ้วรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ
1. อายุเพิ่มมากขึ้น
อายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ เพราะร่างกายของคนเราจะสร้างสารคอลลาเจนและอีลาสติน ที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ชุ่มชื้น เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพและอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหางตาและใต้ตา ที่มักเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
2. แสงแดด
แสงแดด หรือ รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นตัวการทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพราะอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลาย เมื่อผิวขาดความยืดหยุ่น ก็เป็นสาเหตุให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวปกติ
3. การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า
การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าด้วยการ ยิ้ม หัวเราะ หรี่ตา หรือการขมวดคิ้วที่เรียกกันว่าคิ้วผูกโบ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ริ้วรอยใต้ตา หรือตีนกา ได้ง่ายมาก
4. ผิวขาดความชุ่มชื้น
คนที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นหรือผิวแห้ง มักจะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าคนผิวมัน ปัญหาผิวแห้งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ดื่มน้ำน้อย ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม ขัดถูกหน้าแรง ๆ รวมทั้งการสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งและเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
5. พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
พฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่ไลฟ์สไตล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ เช่น การนอนหลับพักผ่อนน้อย นอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือบุหรี่ เพราะสารนิโคตินและแอลกอฮออล์ มีส่วนทำให้คอลลาเจนในผิวเสื่อมสภาพลง รวมถึงการลดน้ำหนักผิดวิธี น้ำหนักลดเร็วเกินไป
วิธีแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ปัญหาผิวแห้ง ด้วย Filler และ Botox
ริ้วรอยรวมทั้งรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของคนเรา สามารถเกิดขึ้นได้และริ้วรอยต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นตามวัย หากไม่บำรุงดูแลผิวพรรณตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากริ้วรอยตามวัยแล้ว ยังอาจเกิดปัญหาริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย Filler และการฉีดโบท็อกลดริ้วรอย คือตัวช่วยแก้ปัญหาหิวแห้วและริ้วรอยต่าง ๆ ให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์ สามารถชะลอวัยและต่อต้านริ้วรอยได้อย่างเห็นผลลัพธ์
Filler คืออะไร
Filler หรือการฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีลดริ้วรอยด้วยสารเติมเต็มเข้าสู่ใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย หลุมรอยแผลเป็น ปรับรูปหน้าและทำให้หน้าหน้าชุ่มชื้นขึ้น โดยสารที่ใช้ฉีดคือ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) เป็นสารสังเคราะห์ที่ทำขึ้นมาเลียนแบบกรดไฮยาลูโรนิก ที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในผิวหนังของคนเราอยู่แล้ว ทำให้ Filler ที่ฉีดเข้าไปในผิวหนังมีความปลอดภัย อีกทั้งสามารถสลายไปเองได้โดยไม่มีสารตกค้างภายในผิวหนัง
Filler เหมาะกับใคร การฉีด ให้ผลการรักษาที่ถาวร หรือไม่
ฟิลเลอร์ เป็นเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูง และยังเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ผลการรักษาริ้วรอยจากการฉีดฟิลเลอร์ ให้ผลการรักษาที่ไม่ถาวร เนื่องจากร่างกายของเราจะสลายฟิลเลอร์ไปเอง และผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานมี อย. รับรอง จะอยู่ได้ 6 -18 ดือน การฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้ที่ผิวหน้ามีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้มลึก มีริ้วรอยใต้ตา และบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า ต้องการลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอย
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับรูปหน้าให้สวยสมส่วน หรือหน้าเรียววีเชฟ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์หน้าผาก และส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้ามีรูขุมขน และหลุมสิว มองเห็นได้เด่นชัด ต้องการฉีดฟิลเลอร์แก้ไขให้มีผิวหน้าที่เรียบเนียน
- ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้า ให้คงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตามีรอยดำ มีถุงใต้ตา
- ผู้ที่มีปัญหารอยเหี่ยวย่นที่เกิดจาก โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้น
การเตรียมตัว ก่อนฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มและยกกระชับหรือปรับโครงสร้างใบหน้าให้สวยสมส่วนได้รูปตามต้องการ แต่ฉีดแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้มากน้อยเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวก่อน Filler ของผู้รับบริการ ดังนี้
- ศึกษาข้อมูล และเลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง
- พบแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหาริ้วรอย
- ก่อน Filler งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน
- กรณีมีโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อน
- งดการสครับผิว งดการโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 สัปดาห์ ควรงดรับประทานยา แอสไพริน และวิตามินบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์
ขั้นตอนการทำ Filler เพื่อลดริ้วรอย
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปภายในผิวหนัง จุดประสงค์ในการทำไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอยหรือปรับแต่งรูปหน้า สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ซึ่งแพทย์จะใช้เวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที โดยขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- พบแพทย์เพื่อปรึกษา และประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไข
- ก่อนฉีดแพทย์อาจะแนะนำชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ และปริมาณในการฉีดที่เหมาะสมกับปัญหา และเหมาะสมกับจุดที่ต้องการฉีด
- ก่อนฉีด เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดใบหน้า หากผู้รับบริการแต่งหน้ามา ก็จะต้องเช็คเครื่องสำอางในจุดที่ฉีดออก
- ประคบน้ำแข็งจุดที่ฉีด เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
- หลังฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง เพื่อช่วยให้การฉีดฟีลเลอร์ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ภาวะแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รวมทั้งการการฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยตามจุดต่าง ๆบนใบหน้า หลังฉีดฟิลเลอร์ อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีรอยแดงจากเข็ม หรือมีอาการบวมหลังฉีด จะบวมประมาณ 7 – 14 และบวมมากในวันแรก ๆ หลับจากนั้นจะค่อยๆ บวมน้อยลงและหายไปเองได้ ถือเป็นผลข้างเคียงปกติที่ไม่ต้องพบแพทย์ ส่วนผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่ต้องพบแพทย์ มีดังนี้
1. ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนนูนออกมาจากผิว
ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมเป็นก้อน เห็นได้อย่างชัดเจนเวลายิ้มหรือขยับกล้ามเนื้อใบหน้า เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ เกิดจากการดูแลตนเองไม่ดีหลังฉีดฟีลเลอร์ หรือเกิดจากความผิดพลาดในการฉีด ควรพบแพทย์เพื่อปรับแก้ไขภายใน 2 สัปดาห์ หากทิ้งระยะเวลาไว้นานกว่านี้จะทำให้ยากต่อการแก้ไข หรือต้องแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์แทน
2. อาการแพ้ฟิลเลอร์
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการแพ้ฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม และอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งหลังฉีดทันทีหรือเกิดขึ้นเมื่อฉีดไปนานเป็นปีแล้ว ลักษณะอาการอาจบวมแดงมาก ร่วมกับการมีก้อนนูนขึ้นมาจากผิว หรือมีรอยแดง มีตุ่มผื่นลมพิษขึ้นใกล้กับบริเวณที่ฉีด บางคนอาจมีการอักเสบ ติดเชื้อ และเป็นหนอง
3. อาการบวมจากการติดเชื้อและอักเสบ
อาการบวมจากการติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลังฉีดหากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์อย่างเร่งด่วน มีอาการบวมแดง แสบร้อนบริเวณที่ฉีด ผิวหนังเป็นสีแดงจัดหรือสีม่วง และอาจมีหนองอยู่ในบริเวณที่บวมด้วย
การดุแลตนเอง หลังฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ filler ใต้ตา หรือการฉีดเพื่อเติมเต็มและยกกระชับบริเวณจุดต่าง ๆ บนในหน้า หลังฉีดอาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคัน ถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ เพื่อลดบวมและเห็นผลลัพธ์ที่ดี มีวิธีดูแลตนเองหลังฉีดฟีลเลอร์ ดังนี้
- นอนหนุนหมอนสูง เพื่อป้องกันเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณใบหน้ามากทำให้จุดที่บวมมีเลือดไปเลี้ยงมากกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการประคบเย็น หรือประคบน้ำแข็ง เพราะอุณหภูมิมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ หากต้องการประคบเย็น ควรปรึกษาแพทย์หากพิจารณาแล้วว่าสามารถประคบเย็นได้ แพทย์จะแนะนำวิธีประคบที่ปลอดภัยให้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส การนวด กด เกา รวมถึงสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงความร้อน ช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และความร้อน เช่น ตากแดด การเข้าห้องซาวน่า เนื่องจากความร้อนจะส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะครีมบำรุงผิวบางชนิดมีส่วนประกอบของกรดผลไม้ อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวบริเวณที่ฉีดได้
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 – 5 วันแรก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เนื่องจากการดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำ มีประสิทธิภาพดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 7 วัน เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีดทำให้เลือดออกในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งการสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
ทำไม Filler ช่วยรักษาริ้วรอยต่าง ๆ ได้
Filler ที่เราใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มและแก้ไขริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า คือ สารเต็มเติมชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาเลียนแบบกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีหน้าที่ช่วยเก็บความชุ่มชื้นภายในเนื้อเยื่อช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผลิตสารเหล่านี้ได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวพรรณที่เคยกระชับเต่งตึง เกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย ไม่สดใส แลดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณที่เกิดริ้วรอย จึงช่วยเติมเต็มแก้ไขปัญหาริ้วรอยให้กลับมากระชับ ช่วยชะลอวัยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
Botox คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของบริษัท Allergan ผู้ที่คิดค้นการนำเอาสาร Botulinum Toxin A มาใช้ในด้านความงาม และการรักษาริ้วรอยเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นยังเป็นยี่ห้อแรกที่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา Botox ไม่เพียงใช้ฉีดเพื่อเสริมความงามและแก้ไขปัญหาริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคบางชนิดด้วย
Botox เหมาะกับใคร การฉีดให้ผลการรักษาที่ถาวร หรือไม่
ฉีดโบท็อก คือการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากแบคทีเรีย เข้าไปที่กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราวและช่วยลดเลือนริ้วรอย เช่น ฉีดโบท็อกหน้าเรียว เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียว แลดูอ่อนเยาว์ แต่การฉีดโบท็อกริ้วรอย ไม่สามารถรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้ถาวร โดยหลังการฉีดจะเริ่มเห็นผลลัพธ์และคงอยู่ได้ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณ ตำแหน่งที่ฉีด ยี่ห้อโบท็อก และความลึกของริ้วรอยเหี่ยวย่น การฉีด Botox จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้หญิงและผู้ชายที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้แลดูแก่กว่าวัยอันควร
- ผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม ต้องการลดกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย และช่วยให้โครงหน้าดูมีมิติมากยิ่ง
- ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกบริเวณรักแร้มาก และมีกลิ่นตัว การฉีด Botoxช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ทำให้กลิ่นตัวหมดไป
- ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เช่น ต้องการยกคิ้วทำให้ตาดูโตขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกใหญ่ รูจมูกกว้าง
การเตรียมตัว ก่อนฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อกไม่เป็นอันตราย แต่การฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ว่าจะเป็นการ โบท็อกลดริ้วรอย ฉีดโบท็อกหน้าเรียว หรือฉีดเพื่อเสริมความงาม การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ มีส่วนสำคัญเพราะนอกจากช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้ว ยังเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย การเตรียมตัวทำได้ ดังนี้
- เลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
- พบแพทย์ เพื่อแจ้งปัญหาผิวหน้าที่ต้องการปรับแก้ และขอคำแนะนำ
- เลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง
- ตรวจสอบโบท็อกซ์ก่อนฉีด โดยตรวจสอบจากกล่องยาและขวดยาเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน อย.
- งดแอลกอฮอล์ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- กรณีมีโรคประจำตัว และต้องรับประทานยา ควรแจ้งแพทย์ก่อน
ขั้นตอนการทำ Botox เพื่อลดริ้วรอย
- บางกรณีอาจต้องพบแพทย์ก่อน เพื่อประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไจ
- ความสะอาดใบหน้า และบริเวณที่ต้องการฉีด
- แพทย์ตรวจสอบความพร้อมของผิว และนำโบท็อกที่ใช้ฉีด
- ทายาชาก่อนฉีดโบท็อก ประมาณครึ่งชั่วโมง
- แพทย์ทำการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินเข้าสู่ผิวด้วยเข็มที่มีขนดาเล็กมาก และใช้เวลาประมาณ 15 – 45 นาทีขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษา
- บริเวณที่ฉีดโบท็อก อาจมีการแปะยาชาร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อก
โบท็อก เป็นสารที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดทำงานได้น้อยลง ผลลัพธ์ที่ได้คือช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้เรียวสวย แม้ผลของการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้อยู่อย่างถาวรแต่จะอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน แต่หลังฉีดอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวสามารถหายได้เอง เช่น
- อาการปวดศีรษะหรือปวดในบริเวณที่ฉีด
- เกิดลมพิษ เป็นผื่น หรือรู้สึกคันในบริเวณที่ฉีดและบริเวณโดยรอบ
- เคี้ยวอาหารได้ยากขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก มีความหนืดมากขึ้น
- ใบหน้าทั้งสองข้างไม่สมมาตร หรือปากเบี้ยวเวลายิ้ม
- มีปัญหาเรื่องการกลืน การพูด หรือการหายใจ
- มีการติดเชื้อ ใบหน้าเบี้ยว ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงและส่งผลกระทบจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่พบได้น้อย หากฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
การดูแลตนเอง หลังฉีดโบท็อก
- หลังการฉีดโบท็อก ไม่ควรนอนราบในช่วง 4 ชั่วโมงหลังการรักษา
- หลังการฉีดหากมีอาการแดง และบวมช้ำ สามารถประคบน้ำแข็งได้ ในช่วง 1 – 2 วันแรก
- ช่วง 1 – 2 ชั่วโมงแรกหลังฉีด พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดให้มาก เพื่อให้ยากระจายเข้ากล้ามเนื้อได้มาก
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น แสงแดด หรือการเข้าห้องซาวน่า
- งดดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ทำไม Botox ช่วยรักษาริ้วรอยต่าง ๆ ได้
โบท็อก เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เมื่อฉีดบริเวณริ้วรอยรอยใต้ตา หรือริ้วรอยรอบดวงตา จะส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวจึงไม่เกิดการขยับ หลังจากฉีดโบท็อก จึงช่วยลดเรือนริ้วรอยและร่องลึกได้ ข้อดีของการฉีดโบท็อก ไม่ต้องพักฟื้นหรือพักหน้าสามารถทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เห็นผลรวดเร็ว ฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ราคาไม่สูง เนื่องจากปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ เพียงเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
สรุป
การฉีด Filler และ Botox เป็นวิธีแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น หรือปัญหาผิวแห้งต่าง ๆ ด้วยการฉีดสารเติมเต็มเช่นเดียวกัน แตกต่างกันที่การฉีดโบท็อกลดริ้วรอย เหมาะสำหรับริ้วรอยร่องตื้นสารที่ใช้เป็นสาร Botulinum Toxin ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ รอยย่นเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา รอบดวงตา และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า โดยเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนการฉีดฟีลเลอร์ เหมาะสำหรับริ้วรอยร่องลึก สารที่ใช้เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา เติมเต็มร่องลึกใต้ตา ริ้วรอบบนใบหน้า ทำให้ริ้วรอยจางลง และผิวดูชุ่มชื้นมากขึ้น หลังฉีดสามารถเห็นผลได้ทันที และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตัวยาที่เป็นของแท้และแพทย์มีประสบการณ์ที่เชื่อถือได้
ปัญหาไขมันหน้าท้องหนา พุงยื่น มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และยังเป็นปัญหาของผู้ชายที่ต้องการมีซิกแพคอีกด้วย เพราะนอกจากไขมันจะบดบังกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้ว การปั้นซิกแพคต้องใช้เวลาในการกำจัดไขมันออกก่อน คุณผู้ชายที่ต้องการปั้นซิกแพค แต่มีไขมันหน้าท้อง บทความนี้ เมโกะ คลินิก มีวิธีดูดไขมันเปลี่ยนพุงเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง มาแนะนำ ค่ะ
ไขมันหน้าท้อง ปัญหาในการสร้างซิกแพค
ไขมันหน้าท้อง และการมีพุ่งยื่นออกมา เกิดขึ้นได้กับคนรูปร่างอ้วนน้ำหนักเกินมาตรฐาน และคนที่มีรูปร่างสมส่วน วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลคือการออกกำลังกายด้วยท่ากายบริหารเพื่อลดไขมันหน้าท้องโดยเฉพาะ หรือใช้เครื่องออกกำลังกายสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งนอกจากกำจัดไขมันส่วนเกินได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มซิกแพคได้ด้วย แต่ทั้งสองวิธีอาจต้องใช้เวลาและมีเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสำหรับบางคนโดยเฉพาะคนที่ต้องการมีซิกแพคอย่างรวดเร็ว
การดูดไขมันสร้างซิกแพค คืออะไร
การดูดไขมันสร้างซิกแพค เป็นการแก้ปัญหาไขมันหน้าท้องด้วยการใช้เครื่องดูดไขมัน ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่น การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 นวัตกรรมใหม่จากประเทศอเมริกา FDA ช่วยลดไขมันหน้าท้องอย่างเร่งด่วน เห็นผลรวดเร็ว เพราะเป็นเครื่องดูดไขมันด้วยพลังงานความร้อน เบา ทำงานโดยปล่อยคลื่นอัลตราซาวน์ กำจัดไขมันแบบเฉพาะจุดทำให้ไขมันละลายแตกตัวกลายเป็นของเหลวก้อนเล็ก ๆ แล้วดูดกลับออกมา เป็นเทคโนโลยีที่ลดการบาดเจ็บ ลดการบวมช้ำ และการเสียดสีแผลบริเวณที่ดูดไขมัน
ใครบ้าง เหมาะกับการดูดไขมันสร้างซิกแพค
- คนที่พยายามออกกำลังกาย เพื่อสร้างซิกแพคแล้วสัดส่วนไม่ลดลง หน้าท้องไม่ยุบ
- คนอ้วนและคนที่มีไขมันบริเวณหน้าท้องมาก ๆ ต้องการสร้างซิกแพค ทำให้ต้องลดพุง ลดไขมันบริเวณหน้าท้องให้ยุบก่อน
- การดูดไขมันสร้างซิกแพค เหมาะกับทุกคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง และควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- คนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีซิกแพค ในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากไม่มีเวลาออกกำลังกาย
- คนผอม หรือคนที่มีรูปร่างสมส่วน ต้องการมีซิกแพค แต่พุงยื่น พุงย้อย มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องมาก
การดูดไขมันสร้างซิกแพคผู้ชาย ที่เมโกะ คลินิก ดีอย่างไร
- การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 จาก เมโกะ คลินิก เป็นนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและรูปร่างใหม่ที่ดีกว่า สามารถลดไขมันหน้าท้องอย่างเห็นผลในเวลาอันรวดเร็ว
- Vaser Smooth 2.2 เป็นเครื่องดุดไขมัน ทำงานโดยปล่อยคลื่นอัลตราซาวน์มาช่วยสร้างความร้อน สามารถดูดไขมันเฉพาะจุดได้จำนวนมากในครั้งเดียว และใช้เวลาในการทำไม่นาน มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง
- เครื่อง Vaser Smooth 2.2 จาก เมโกะ คลินิกได้มาตรฐานความปลอดภัยเครื่องมือแพทย์ และเป็นนวัตกรรมใหม่นำเข้าจากประเทศอเมริกา FDA
- เมโกะ คลินิก จดทะเบียนถูกต้อง มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ปลอดภัย ห้องพยาบาลและเครื่องมือที่ใช้ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล
- การดูดไขมันสร้างซิกแพคผู้ชาย ที่เมโกะ คลินิก ทุกขั้นตอนให้การดูแลโดยศัลยแพทย์ทีที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
ขั้นตอนการ ดูดไขมันสร้างซิกแพค
- ศัลยแพทย์ จะเปิดแผลขนาดเล็ก และทำการใส่ Tumescent เพื่อเข้าไปทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นหดตัวจะทำให้ขณะดูดไขมัน ผู้รับบริการจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เทคนิคนี้เป็นสูตรเฉพาะของ เมโกะ คลินิก
- ศัลยแพทย์ จะเริ่มดูดไขมันหลังจากยาชาออกฤทธิ์ เครื่องดูดไขมัน Vaser Smooth 2.2 จะใช้พลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ในการสร้างพลังความร้อนสลายไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวกลายเป็นน้ำมันโดยที่พลังงานความร้อนจะต้องไม่สูงมากจนเกินไปเพื่อไม่ทำให้ผิวเกิดคลื่นหรือไหม้
- ขั้นตอนสุดท้าย เป็นการดูดไขมันออกมาและเย็บปิดแผล แผลดูดไขมันจะเล็กมาก ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
ดูดไขมันหน้าท้องมีกี่วิธี ?
การดูดไขมันหน้าท้อง เป็นศัลยกรรมเพื่อการดูแลรูปร่างให้มีสัดส่วนที่กระชับ ต้องการมีซิกซ์แพ็ก หรือเห็นกล้ามเนื้อท้องชัดเจน ปราศจากไขมันส่วนเกิน เทคนิคที่กำลังได้รับความนิยมได้แก่ การดูดด้วยเครื่องด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ที่สามารถดูดไขมันเฉพาะส่วนได้ดี ช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำและบวม ทำให้แผลหายเร็ว โดยการดูดไขมันหน้าท้องมี 2 วิธี ดังนี้
1. การดูดไขมันทิ้ง
การดูดไขมันทิ้ง เป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องทิ้งไป อุปกรณ์ที่ใช้ในการดูดไขมันหน้าท้องแบบทิ้งจะเป็นเครื่องดูดไขมันพลังงานความร้อน ซึ่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ จะช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นของเหลว ทำให้ง่ายต่อการดูดออกมา เช่น การดูดด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ซึ่งสามารถดูดไขมันออกมาทิ้งในปริมาณมาก ใช้เวลาไม่นาน
2. การดูดไขมัน เพื่อเติมเต็ม
การดูดไขมันเพื่อเติมเต็ม เป็นการดูดไขมันส่วนนั้นออกมาแล้วนำไปเติมเต็มบริเวณจุดบกพร่อง เช่น การฉีดไขมันหน้าผากให้มีลักษณะตามหลักโหงวเฮ้ง หรือเพื่อปรับรูปหน้าผากให้สมส่วน การดูดไขมัน เพื่อเติมเต็มจะแตกต่างจากการดูดทิ้ง เนื่องจากไขมันที่ดูดออกมาจะต้องมีความสมบูรณ์ของเซลล์ไขมัน ที่พร้อมจะนำไปปลูกถ่ายส่วนอื่นหรือส่วนที่บกพร่องของร่างกาย การดูดด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ซึ่งเป็นพลังงานความร้อน จึงใช้ไม่ได้ แต่จะใช้เครื่องดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ เท่านั้น
การเตรียมตัว ก่อนดูดไขมันสร้างซิกแพค
สำหรับการเตรียมตัวดูดไขมัน ปั้นซิกแพคด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพียงพบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำปรึกษารวมทั้งแจ้งความต้องการและเป้าหมายของการดูดไขมัน และทำตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
- แจ้งประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น ประวัติโรคประจำตัว การแพ้ยา และการใช้ยารักษาโรค
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง เนื่องจากหลังการดูดไขมัน อาจมีอาการต่าง ๆ เช่น อาการเมา คลื่นไส้ อาเจียน และอาการวิงเวียนศีรษะ
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย ปรับเปลี่ยนได้ง่าย เพราะหลังดูดไขมันอาจมีน้ำซึมออกมาจากบาดแผล ทำให้เปื้อนเสื้อผ้าได้
- หลังการดูดไขมันคนไข้จะมีอาการอ่อนเพลีย เพื่อความปลอดภัยควรมีคนคอยดูแล ไม่ควรเดินทางมาดูดไขมันเพียงคนเดียว ควรพาญาติ หรือเพื่อนมาด้วย
การดูแลตนเอง หลังฉีดไขมันสร้างซิกแพค
- ในช่วงแรกควรใส่ชุดกระชับตลอดเวลาเพื่อให้สัดส่วนเข้าที่ไวขึ้น ช่วยลดอาการบวม ช้ำ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
- หลังดูดไขมัน อาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในบางราย
- ควรงดออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 วัน
- ช่วงสัปดาห์ที่ 3-4 ขึ้นไป ควรใช้มือนวดบริเวณซิกแพคเป็นประจำ เพื่อลดการเกิดก้อนแข็งที่หน้าท้อง
- ควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผล
ข้อเสียของการดูดไขมันหน้าท้อง
- หลังดูดไขมันหน้าท้อง จะมีอาการเจ็บ บวมช้ำ แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ระหว่างดูดไขมันหน้าท้อง อาจรู้สึกเจ็บปวด
- การดูดไขมันหน้าท้อง ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะจุดเท่านั้น
- การดูดไขมันหน้าท้องหรือลดส่วนเกิน ไม่ได้ช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น
- สำหรับคนที่มีปัญหาผิวพรรณ อาจเกิดแผลเป็นหรือคีลอยด์ได้
- อาจเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวย่น ผิวเป็นคลื่นไม่เรียบเนียนได้ หากดูดไขมันในปริมาณมาก
- มีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะหลังดูดไขมัน
- ผลลัพธ์ที่ได้ ยังขึ้นอยู่กับการเลือกเครื่องดูดไขมัน ความเชี่ยวชาญและเทคนิคของแพทย์ จากคลินิกที่ได้มาตรฐาน และจดทำเบียนได้รับอนุญาตถูกต้อง รวมทั้งการดูแลตัวเองของคนไข้
สรุป
เครื่อง Vaser Smooth 2.2 นวัตกรรมการดูดไขมันเพียงเครื่องเดียว สามารถลดกระชับไขมันหน้าท้องหนาๆ และปัญหาพุงยื่นได้อย่างเห็นผลในเวลาอันรวดเร็ว หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีไขมันหน้าท้องหนา ต้องการมีซิกแพค หากเคยใช้วิธีลดไขมันหน้าท้อง หรือลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกายหรือการเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายเฉพาะส่วนมาแล้ว แต่ไม่เห็นผล เมโกะ คลินิก แนะนำการดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ช่วยเปลี่ยนพุงเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้มีซิกแพคสวยเป็นธรรมชาติได้อย่างแน่นอน ค่ะ
การมีไขมันหน้าท้อง เป็นปัญหาต่อบุคลิกภาพไม่เฉพาะคนอ้วนเท่านั้น ไขมันหน้าท้องยังทำให้คนรูปร่างผอมมีพุงยื่นออกมาได้ และยังทำให้คนที่อยากมีซิกแพคต้องออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อกำจัดไขมันให้หมดไปก่อนบริหารหน้าท้องให้มีซิกแพคเป็นลอนสวยและดูแข็งแรง สำหรับคนที่มีปัญหาไขมันหน้าท้อง มีพุง แต่อยากมีซิกแพคควรทำอย่างไร บทความนี้ เมโกะ คลินิก มี 3 เรื่องน่ารู้ มาแนะนำค่ะ
ซิกแพคและการสร้างซิกแพค
ซิกแพค คือกล้ามเนื้อหน้าท้องที่มีด้วยกันทุกคนทั้งผุ้หญิงและผู้ชาย แต่อาจแตกต่างและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่เท่ากัน โดยทั่วไปจะมีลักษณะเรียงคู่กันข้างซ้าย 3 ลูก ข้างขวา 3 ลูก รวมเป็น 6 ลูก ที่เรียกกัน “ซิกแพค” แม้ทุกคนจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องเหมือนกันแต่มักถูกบดบังด้วยชั้นไขมัน จึงทำให้บางคนไม่สามารถมองเห็นซิกแพคได้ชัดเจน รวมทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องของผู้หญิงกับผู้ชายก็จะแตกต่างกันแม้จะออกกำลังกายอย่างหนักเหมือนกัน เช่น ซิกแพคผู้ชายส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลอนใหญ่ ๆ ดูแข็งแรงและ เห็นได้ชัดเจน ส่วนผู้หญิงอาจมองเห็นเป็นเพียงแนวเส้นเป็นร่องคล้ายเลข 11 สวยงามและดู Sexy
3 เรื่องน่ารู้ของคนอยากมีซิกแพค
การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือที่เรียกกันว่า “ซิกแพค” เป็นเทรนด์การดูแลรูปร่างที่กำลังได้รับความนิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ส่วนการปั้นซิกแพคก็จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล ผู้ชายอาจต้องการซิกแพคที่ดูแข็งแรงมีลอนกล้ามเนื้อที่ใหญ่ ส่วนซิกแพคของผู้หญิงอาจต้องการเพียงกล้ามเนื้อท้องที่ราบเนียนช่วยให้รูปร่างดี กล้ามเนื้อกระชับ ปัจจุบันการสร้างซิกแพคทำได้หลายวิธี ผลลัพธ์ที่ได้รวมทั้งข้อดี ข้อด้อย ก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ ระยะเวลา และความชื่นชอบของแต่ละบุคคล การสร้างซิกแพคมี 3 เรื่องน่ารู้ ดังนี้
1.รู้ว่า สร้างซิกแพคด้วยการออกกำลังกาย คืออะไร
ความหมายของการออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพค ต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปที่หมายถึงการทำกิจกรรมที่ได้ออกแรงหรือเคลื่อนไหวร่างกาย ช่วยให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงและเกิดผลดีต่อสุขภาพ แต่การออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพคแยกออกเป็น 2 ขั้นตอนได้แก่ การออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันหน้าท้อง และการออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- การออกกำลังกายกำจัดไขมันหน้าท้อง การออกกำลังกายกำจัดไขมันหน้าท้อง เป็นการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงาน วิธีออกกำลังกายทำได้หลายรูปแบบ เช่น ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค หรือออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์ด้วยเครื่องออกกำลังกายรูปแบบต่าง ๆ สิ่งสำคัญการออกกำลังกายต้องอยู่ในระดับที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วระดับหนึ่ง เพื่อให้เลือดสูบฉีดและร่างกายได้ดึงไขมันมาใช้
- การออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง การมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นหนึ่งในเป้าหมายของคนที่อยากมีรูปร่างที่ดี มีซิกแพคเป็นลอนสวย แม้ซิกแพคจะเป็นสิ่งที่ทุกคนมีกันอยู่แล้ว แต่ถูกบดบังด้วยไขมันทำให้มองไม่เห็นซิกแพค หลักการออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้องใช้ทั้งความรู้และความพยายามในการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ลดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย และทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน
2.รู้ขั้นตอนการสร้างซิกแพคอย่างถูกวิธี
การสร้างซิกแพค นอกจากการออกกำลังกายและการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบการเผาผลาญ และลดไขมัน ด้วยความตั้งใจและมีระเบียบวินัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการแล้ว ยังต้องควบคุมอาหารตามหลักโภชนาการควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ได้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่รวดเร็ว มีลอนซิกแพคสวยเป็นธรรมชาติ ดังนี้
ลดไขมันตามหลักโภชนาการ
- ควบคุมอาหารตามหลักโภชนาการ โดยรับพลังงานเข้าต่อวันประมาณ 18 – 26 แคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ควรได้รับพลังงานไม่เกิน 1080 – 1560 แคลอรี
- รับประทานที่มีโปรตีนให้มากขึ้น โดยโปรตีนที่เหมาะกับการสร้างกล้ามเนื้อต่อวันจะอยู่ที่2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ปริมาณโปรตีนที่เหมาะกับการสร้างกล้ามเนื้อจะอยู่ที่ 120 กรัมต่อวัน โดยปริมาณกรัมที่ว่านี้ คือปริมาณกรัมของสารอาหารไม่ใช่ปริมาณของน้ำหนักอาหาร
- เลือกรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ ไขมันเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างกล้ามเนื้อ ในช่วงออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมัน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ไขมันดี ได้แก่ ไขมันจาก ปลา ธัญพืช ถั่ว และน้ำมันมะกอก
เพิ่มการคาร์ดิโอ
การลดไขมันสร้างซิกแพคด้วยการคาร์ดิโอ ที่เหมาะสมจะช่วยลดปริมาณไขมันลงได้ โดยเลือกกิจกรรมคาร์ดิโอที่ชอบ เช่น เดิน วิ่ง ปันจักรยาน กระโดดเชือก ทำต่อเนื่อง 40-60 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์
เล่นเวทเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนท้อง
การสร้างซิกแพค สิ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือการฝึกกล้ามเนื้อท้องโดยใช้แรงต้าน หรือเวทเทรนนิ่ง การเวทเทรนนิ่งกล้ามเนื้อส่วนท้องนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งการใช้เครื่องออกกำลังแบบแรงต้าน ลูกเหล็ก บาร์เบล ดัมเบล โดยเลือกใช้ท่าฝึกให้หลากหลาย กระจายไปทุก ๆ ส่วนของกล้ามเนื้อท้อง
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้การออกกำลังกายดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ออกกำลังกายในตอนเช้า ร่างกายจะสดชื่นและตื่นตัวรับการฝึกได้ดีกว่า
3.การสร้างซิกแพคด้วยการดูดไขมัน คืออะไร
การดูดไขมันสร้างซิกแพค เป็นการศัลกรรมซิกแพคหรือสร้างซิกแพคขึ้นมา สำหรับคนที่ต้องการมีซิกแพค การดูดไขมันเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ารู้ ที่ช่วยให้ใครหลาย ๆ คนที่ต้องการมีซิกแพคอย่างเร่งด่วน หรือมีปัญหาออกกำลังกายอย่างหนักแล้วซิกแพคไม่ขึ้น ได้มีทางเลือกในการสร้างซิกแพค โดยไม่ต้องเสียเวลาออกกำลังกาย แต่เป็นเทคนิคพิเศษ ที่แพทย์จะใช้เครื่องดูดไขมันกำจัดไขมันส่วนเกินชั้นใต้ผิวหนัง ออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งแพทย์ที่เชี่ยวชาญ จะดีไซน์การสร้างซิกซ์แพ็ก ได้เป็นรายบุคคลทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อให้ได้ซิกแพคที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
การดูดไขมันสร้างซิกแพค ทำที่ไหนดี
การดูดไขมันสร้างซิกแพค เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่ง จุดมุ่งหมายพื้นฐานของการศัลยกรรม ก็เพื่อเพิ่มความสวยงาม เสริมสร้างบุคลิกภาพและเพิ่มความมั่นใจในตนเอง การเลือกคลินิกที่ให้บริการ รวมทั้งความเชี่ยวชาญของแพทย์ จึงมีความสำคัญ ปัจจุบันยังมีคลินิกเสริมความงามให้เลือกมากมาย วิธีเลือกคลินิกที่ได้คุณภาพและปลอดภัย ทำได้ ดังนี้
- เป็นคลินิก ที่มีใบอนุญาตประกอบการถูกต้อง
- คลินิก และแพทย์ผู้ให้บริการ เป็นที่รู้จัก รวมทั้งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
- ศัลยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งสามารถตรวจสอบ
- สามารถตรวจสอบยา หรืออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ได้ว่าเป็นของแท้
- สภาพแวดล้อม การตกแต่งคลินิก อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้สะอาด ตามมาตรฐาน
- ราคาที่ให้บริการสมเหตุสมผล
ศัลยกรรมซิกแพค ด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 ดีอย่างไร
- เครื่อง Vaser Smooth 2.2 เป็นนวัตกรรมใหม่จากประเทศอเมริกา FDA ที่นิยมใช้ดูดไขมันปั้นซิกแพค และปรับสัดส่วนให้มีความกระชับ มากที่สุดในปัจจุบัน
- ศัลยกรรมซิกแพค ด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 เป็นการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ ทำให้ไขมันแตกตัวเป็นของเหลว ง่ายต่อการดูดออกมา
- ดูดไขมันด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 ช่วยลดไขมันเฉพาะส่วน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ช่วยให้สร้างซิกแพคและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องได้รวดเร็วกว่าวิธีอื่น
- วิธีการดูดนุ่มนวลกว่า ไหลลื่นมากกว่า สมูทกว่าและเลือดออกน้อย สามารถกำจัดไขมันได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อโดยรอบ ๆ
- สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าท้อง และบริเวณอื่น ๆ เฉพาะจุดที่เราไม่ต้องการออกได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
สร้างซิกแพคด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ทำไมต้อง เมโกะ คลินิก
- การดูดไขมัน ด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 เป็นเทคนิคเฉพาะที่เมโกะ คลินิก นำมาใช้ดูดไขมันสร้างซิกแพค
- การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 จาก เมโกะ คลินิก เป็นนวัตกรรมที่ไม่ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงอย่างเส้นเลือดและเซลล์ประสาท บริเวณรอบ ๆ ได้รับความเสียหาย หรือถูกกระทบกระเทือน ลดการบวม ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- สามารถดูดไขมันได้จำนวนมากและใช้เวลาน้อย ช่วยให้การสร้างซิกแพคทำได้ง่ายและเห็นผลรวดเร็ว
- เมโกะ เป็นคลินิก ที่จดทะเบียนถูกต้องตามมาตรฐานสถานพยาบาล และมีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ปลอดภัย ห้องพยาบาลและเครื่องมือที่ใช้ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล
- บริการศัลยกรรมเสริมความงามครบวงจร ทั้งศัลยกรรมใบหน้า เสริมหน้าอก ดูดไขมัน ปรับรูปร่างให้สวยสมส่วน ดูแลผิวพรรณให้ขาวใส ดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรม และทุกขั้นตอนการดูดไขมันปั้นซิกแพค ให้การดูแลโดยศัลยแพทย์ทีที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
สรุป
การมีรูปร่างสวยสมส่วน ปราศจากไขมันส่วนเกินเป็นที่ปรารถนาของทุกคนอยู่แล้ว สำหรับคนที่ต้องการมีซิกแพค เป็นการเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับรูปร่าง สร้างความมั่นใจในให้กับคนเอง การสร้างซิกแพคทำได้ไม่ยาก และมีหลากหลายวิธีให้เลือก แต่อาจต้องใช้เวลาและไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ปัจจุบันการสร้างซิกแพคด้วยการดูดไขมัน เป็นทางเลือกและทางลัดที่ช่วยให้ทุกคนมีซิกได้รวดเร็ว หากใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรเลือกดูดไขมันสร้างซิกแพคที่ไหนดี เมโกะ คลินิก พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาค่ะ
การมีรูปร่างที่สมส่วน หุ่นดี ปราศจากไขมันหน้าท้อง เป็นที่ต้องการของทุกคนอยู่แล้ว ปัจจุบันไม่ใช่เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ต้องการมีซิกแพค ผู้หญิงก็นิยมการออกกำลังกายสร้างซิกแพค เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับรูปร่าง และเป็นความชื่นชอบส่วนตัว ใครที่ประสบปัญหาออกกำลังกายทุกวัน แต่ซิกแพคไม่ขึ้น เมโกะ คลินิก มีคำตอบมาให้ค่ะ
ออกกำลังกายสร้างซิกแพคได้จริงหรือไม่
สำหรับคนที่ต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง จะให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายและการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งทำได้หลากหลายวิธี แต่การบริหารกล้ามเนื้อท้องเพื่อปั้นซิกแพคจะแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไป ซึ่งนอกจากจะต้องออกกำลังกายอย่างถูกวิธีแล้ว ยังต้องมีระเบียบวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
ซิกแพคสำคัญอย่างไร
ซิกแพค คือกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีลักษณะเป็นลอนแข็งแรงรวม 6 ลูก แบ่งเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้าย 3 ลูกและด้านขวา 3 ลูก ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนนี้มีได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะมีลักษณะแตกต่างกันไป และบางคนอาจมองไม่เห็นซิกแพค เนื่องจากถูกบดบังด้วยชั้นไขมัน การปั้นซิกแพคทำให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ชัดเจน จึงต้องลดปริมาณไขมันในร่างกายให้ได้ก่อน การมีซิกแพคนอกจากเป็นความชื่นชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคลแล้ว ยังทำให้รูปร่างทั้งของผู้ชายและผู้หญิง ดูแข็งแรง เฟิร์ม กระชับ เสริมเสน่ห์ให้ดูสุขภาพดี
วิธีสร้างซิกแพคผู้ชายด้วยการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและซิกแพต เป็นแนวทางที่ทำได้ไม่ยาก เพราะการออกกำลังกาย ร่างกายจะเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงาน เมื่อไขมันลดลงก็จะมองเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ชัดเจนขึ้น โดยทั่วไปการออกกำลังกายที่ดีจะต้องเน้นการหายใจใช้อากาศเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิต การออกกำลังกายลักษณะนี้เป็นการเผาผลาญไขมันในร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพคต้องเน้นการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน
การออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง
บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่ช่วยให้มีซิกแพคเพิ่มกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงบริเวณท้องหรือแกนกลางลำตัว สามารถบริหารร่างกายบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องได้หลายรูปแบบ เช่นท่าที่ใช้แรงต้านซึ่งมีทั้งแบบที่มีอุปกรณ์หรือไม่มีอุปกรณ์ โดยปกติการออกกำลังกายต้องใช้เวลามากกว่า 30 นาที ระบบเผาผลาญในร่างกายจึงจะเริ่มทำงาน
วิธีบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง
การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องสร้างซิกแพค หลักสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นลอนสวย มองเห็นได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องออกกำลังกายร่วมกันทั้งการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันและบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ดังนี้
- เมื่อเลือกท่าบริหารที่เหมาะสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ให้เริ่มทำอย่างช้า ๆ และตั้งใจ บริการอย่างเต็มที่ ไม่รีบร้อน
- ขณะออกกำลังกายพยายามเกร็งกล้ามเนื้อให้มากที่สุด เพื่อให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว ทำงานได้เต็มที่
- การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน ควรบริหารกล้ามเนื้อ3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว
- การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ควรบริหารหลังจากออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเผาผลาญไขมันแล้ว เพราะการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง อาจทำให้ร่างกายจะอ่อนล้า และไม่สามารถบริหารส่วนอื่นของร่างกายได้
- หลักในการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง หากต้องการออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบนต้องล็อกร่างกายส่วนล่างไม่ให้เคลื่อนไหว และหากต้องการออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่าง ต้องล็อกร่างกายส่วนบนไม่ให้เคลื่อนไหว
ปัญหาและวิธีแก้ปัญหาออกกำลังกายทุกวัน แต่ซิกแพคไม่ขึ้น
การออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันและสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลายคนมีความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัยในการออกกำลังกายอย่างหนักและสม่ำเสมอ แต่ปัญหาที่พบได้มากก็คือออกกำลังกายทุกวัน แต่ซิกแพคไม่ขึ้น ปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากรู้แนวทางแก้ไขก็สามารถปั้นซิกแพคให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ดังนี้
ออกกำลังกายผิดวิธี
ซิกแพคหรือกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นสิ่งที่ทุกคนทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีเหมือนกัน แต่ลักษณะของซิกแพคอาจแตกต่างกันไป ส่วนคนที่ไม่มีหรือมองไม่เห็นซิกแพคเนื่องจากมีไขมันบดบัง การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง จึงต้องทำควบคู่กันไปกัน เช่น การออกกำลังกายด้วยการเดิน การวิ่ง เพื่อเผาผลาญไขมัน แล้วตามด้วยการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยเฉพาะ การแก้ปัญหาเมื่อออกกำลังกายอย่างถูกวิธีการมีซิกแพคก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ออกกำลังกายไม่มากพอ
การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไป แม้จะทำตามวิธีการอย่างถูกต้อง โดยเริ่มจากการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน แล้วตามด้วยการบริหารกล้ามเนื้อส่วนหน้าท้อง แต่หากออกกำลังกายหรือบริหารกล้ามเนื้อน้อยเกินไป จนไม่สามารถเผาผลาญไขมัน หรือทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้ การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีควรออกกำลังกาย 15-30 นาที ต่อวัน หรือ 150 นาที ต่อสัปดาห์ หากต้องการเผาผลาญไขมันควรใช้เวลาในการออกกำลังกาย 30 นาทีขึ้นไป
ร่างกายมีไขมันมากเกินไป
สาเหตุหลักที่ไม่เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพคก็คือมีไขมันบดบัง การออกกำลังกายอย่างหนักแล้วไม่เห็นซิกแพค อาจมีไขมันสะสมอยู่ในเกณฑ์ที่มากเกินไป วิธีแก้ไขสามารถปรับการรับประทานอาหารให้ลดลง หรือควบคุมปริมาณแครอรี่ โดยทำคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เน้นออกกำลังกายกระชับหน้าท้องบ้าง อาจช่วยให้เห็นซิกแพคได้ระดับหนึ่ง
วิถีการใช้ชีวิตไม่ปรับเปลี่ยน
วิถีการใช้ชีวิตก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การออกกำลังกายแล้วซิกแพคไม่ขึ้น เช่น นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขควรนอนวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อให้ร่างกายพักฟื้นอย่างเพียงพอ การมีความเครียดสะสมเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ เนื่องจากสภาพจิตใจและความเครียดกระตุ้นให้ต้องการรับประทานอาหารมากขึ้น ส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานไม่ดีพอ
เคล็ดลับจากเมโกะ คลินิก สร้างซิกแพค โดยไม่ต้องออกกำลังกาย
สำหรับหลาย ๆ คนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือมีซิกแพคสวย ๆ แต่ไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย หรือต้องการปั้นซิกแพคให้ได้ผลลัพธ์อย่างเร่งด่วนด้วยเหตุผลต่าง ๆ การดูดไขมันคือแนวทางที่ช่วยให้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือเห็นซิกเพคได้อย่างรวดเร็ว การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 เคล็ดลับความเฟิร์ม จากเมโกะ คลินิก ที่เป็นตัวช่วยสร้างซิกแพคโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 สร้างซิกแพคได้อย่างไร
- เครื่อง Vaser Smooth 2.2 นวัตกรรมใหม่จากประเทศอเมริกา FDA เป็นเครื่องดูดไขมันที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง สามารถดูดไขมันเฉพาะส่วนได้ดี เหมาะสำหรับดูดไขมันบริเวณท้อง เพื่อช่วยให้การปั้นซิกแพคทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- การทำงานของเครื่อง เป็นเครื่องดูดพลังงานความร้อน โดยปล่อยคลื่นอัลตราซาวน์ ในการกำจัดไขมันแบบเฉพาะจุด เหมาะกับเคสที่มีไขมันเยอะ มวลไขมันหนาแน่นและต้องการสร้างซิกแพคโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
- เครื่อง Vaser Smooth 2.2 วิธีการดูดจะนุ่มนวลกว่า ไหลลื่นมากกว่า สมูทกว่าและเลือดออกน้อย สามารถกำจัดไขมันได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อโดยรอบ ๆ
- เป็นการดูดไขมันที่มีอาการเจ็บ และบวมช้ำจากการดูดไขมันน้อยกว่าการดูดไขมันแบบอื่น
- สามารถดูดไขมันได้จำนวนมากในครั้งเดียว และใช้เวลาน้อย ช่วยให้การสร้างซิกแพคทำได้ง่ายและเห็นผลรวดเร็ว
สรุป
สำหรับคนที่ต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีซิกแพคสวยเป็นธรรมชาติ หากมีปัญหาออกกำลังกายทุกวัน แต่ซิกแพคไม่ขึ้นเป็นปัญหานี้ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และมีหลายสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากไม่สามารถกำจัดไขมันหน้าท้องให้หมดไปได้ ทำให้การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อให้มีซิกแพคทำได้ยาก การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 คือนวัตกรรมที่ เมโกะ คลินิก นำมาเป็นทางลัดในการปั้นซิกแพคสร้างกล้ามหน้าท้อง ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว ปลอดภัย จากเครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล
การสร้างซิกแพคผู้ชาย ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ก็คือการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์สำหรับปั้นซิกแพคโดยเฉพาะ และหากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีก็มักออกกำลังกายในฟิตเนส ที่มีผู้ให้ความรู้และคำแนะนำในการปฏิบัติตัวอย่างถูกวิธี แต่ทุกวิธีที่กล่าวมาต้องใช้เวลา หากใครต้องการมีซิกแพคที่สวยงามและรวดเร็ว เมโกะ คลินิก มีวิธีสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ มาแนะนำค่ะ
ซิกแพค คืออะไร
ซิกแพคมาจากคำว่า Six Pack ความหมายตรงตัว คือกล้ามเนื้อหน้าท้องของคนเรามีที่มีอยู่ 6 มัด เรียงคู่กันด้านซ้าย 3 มัด และด้านขวา 3 มัด ลักษณะเป็นลอนสวยดูแข็งแรงและสุขภาพดี โดยทั่วไปกล้ามเนื้อหน้าท้องของคนเราที่มีกันทุกคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายแต่ถูกบดบังด้วยชั้นไขมัน การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือสร้างซิกแพค จึงต้องกำจัดไขมันบริเวณหน้าท้องให้หมดไป
ทำไมผู้ชายหลายคนต้องการมีซิกแพค
ผู้ชายส่วนใหญ่ต้องการปั้นซิกแพค เพราะการมีซิกแพคหรือมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ดูแข็งแรง ทำให้รูปร่างสมส่วน ฟิตเฟิร์ม และดูสุขภาพดี ช่วยให้แต่งตัวง่ายขึ้น หาเสื้อผ้าใส่ง่ายไม่ต้องกังวลเรื่องพุง การมีซิกแพคนอกจากเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของตนเองแล้ว ผู้ชายเชื่อว่าในทัศนคติของผู้หญิงส่วนใหญ่สนใจผู้ชายรูปร่างดี มีซิกแพคหรือกล้ามเนื้อหน้าท้องเพราะดูปกป้องเธอได้
ออกกำลังกายทุกวัน ทำไมซิกแพคไม่ขึ้น
การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและซิกแพค มีหลายวิธี เช่น การออกกำลังกายด้วยท่าที่เน้นใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นหลัก หรือการออกกำลังกายด้วยเครื่องออกกำลังกายสำหรับบริหารหน้าท้องโดยเฉพาะ แต่การออกกำลังกายทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต้องใช้เวลาและมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับปัญหาที่ผู้ชายส่วนใหญ่ออกกำลังกายอย่างหนักแต่ซิกแพคไม่ขึ้น มีหลายสาเหตุที่ทำให้ซิกแพคไม่ขึ้น เช่น
- การออกกำลังกายผิดวิธี หากออกกำลังกายด้วยเครื่องสำหรับบริหารหน้าท้องโดยเฉพาะ อาจขาดความรู้ในการใช้อย่างถูกต้อง
- ร่างกายมีไขมันสะสมจำนวนมาก กรณีนี้จำเป็นจะต้องกำจะจัดไขมันบางส่วนออกไปก่อน แล้วตามด้วยการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- มีกล้ามเนื้อท้องน้อยเกินไป หรือรูปร่างผอมก็ทำให้การออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพคทำได้ยาก
- มีความเครียด เพราะผลของฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากความรู้สึกเครียดกระตุ้นให้เรากินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ เครื่องดื่มส่งผลต่อสุขภาพ และยังส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานไม่ไม่ดีพอ
- พักผ่อนน้อยเกินไป การออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพค ควรนอนวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อให้ร่างกายพักฟื้นอย่างเพียงพอ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัวขณะหลับ
การสร้างซิกแพคด้วยตัวเอง ควรทำอย่างไร
การสร้างซิกแพคด้วยตัวเอง นอกจากเลือกออกกำลังกายในท่าที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหน้าท้อง รวมทั้งออกกำลังกายด้วยเครื่องสำหรับบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อให้การสร้างซิกแพคได้ผลลัพธ์ที่ดี ต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตบางส่วน ดังนี้
1.ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพื่อสร้างซิกแพค เป็นการออกกำลังกายหนักในระยะเวลาสั้นๆ สลับกับการออกกำลังกายเบาๆ โดยใช้เวลาสูงสุดไม่เกิน 30 นาที แต่เป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอก็จะเน้นช่วยเรื่องการเผาผลาญพลังงาน ลดระดับไขมันหน้าท้อง และสร้างกล้ามเนื้อ
2.ออกกำลังกายด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง
การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านมีหลายวิธี เพียงศึกษาจากอินเทอร์เน็ต เลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวเรา นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อทำให้เรามีซิกแพคอย่างที่ต้องการ ยังดีต่อสุขภาพทำให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
3.เข้าฟิตเนส
การเข้าฟินเนสเป็นการสร้างซิกแพคด้วยตัวเอง แต่ต้องการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีงด้วยเครื่องออกกำลังที่เหมาะสำหรับสร้างกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ และยังอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ที่มีความรู้ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว
4.ลดไขมันด้วยโภชนาการ เพราะซิกแพคของคนเราถูกบดบังด้วยไขมัน
หน้าท้องการลดไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกายทำให้การปั้นซิกแพคทำได้ง่ายและเห็นผลรวดเร็ว เช่น ควรจำกัดพลังงานด้วยการลดคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำกว่า 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการ คือรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง 1 วันต่อสัปดาห์ หรือ อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อเดือน เพื่อเป็นการรักษาระบบการเผาผลาญพลังงานให้เป็นปกติ
5.พักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ
การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ มีผลต่อการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย และเมื่ออดนอนติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานลดลง 30-40 % หลังการออกกำลังกายร่างกายเพื่อสร้างซิกแพค ร่างกายควรพักผ่อนและนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชม. เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้การออกกำลังกายได้ผลลัพธ์ดีขึ้น
การสร้างซิกแพค ด้วยมือแพทย์
การสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ หมายถึง การลดไขมันเฉพาะส่วนด้วยเครื่องมือหรือเทคโนโลยี เพื่อตกแต่งบริเวณหน้าท้องให้เกิดรูปร่างซิกแพคเป็นลอนที่สวยงามได้รูปทรง ซึ่งเครื่องมือที่นำมาใช้เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์สำหรับดูดไขมันโดยเฉพาะ สามารถช่วยสร้างซิกแพก พร้อมช่วยลดไขมัน และกระชับสัดส่วน เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณท้องและต้องการมีซิกแพคในเวลาอันรวดเร็ว
การผ่าตัดสร้างซิกแพค คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง
การผ่าตัดสร้างซิกแพค คือการผ่าตัดสร้างกล้ามเนื้อโดยการดูดไขมัน เป็นการดูดไขมันเฉพาะที่ เพื่อทำให้เกิดเป็นลอนสวยงามบริเวณหน้าท้อง แบ่งอยู่ด้านซ้าย 3 ลอน ด้านขวา 3 ลอน รวม 6 ลอน ที่เรียกกันว่า “ซิกแพค” เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการดูดไขมัน มีหลากหลายชนิด ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่อง รวมทั้งความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการใช้เครื่องมือนั้น ๆ
การผ่าตัดสร้างซิกแพค เหมาะกับใครบ้าง
การผ่าตัดสร้างซิกแพค เป็นทางลัดในการสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง โดยแพทย์จะทำการดูดไขมันตามลายกล้ามเนื้อ โดยเน้นที่กล้ามเนื้อแนวยาวตรงกลางของหน้าท้องให้มีลักษณะเป็นลอน ข้างละ 3 ลอน สำหรับผู้ที่มีส่วนเกินในปริมาณค่อนข้างมาก แพทย์จะทำการดีไซน์รูปร่างและดูดไขมันส่วนเกินร่วมด้วย ดังนั้นการผ่าตัดสร้างซิกแพคเหมาะกับคนที่ต้องการมีซิกแพคอย่างรวดเร็ว รวมถึงคนที่ปั้นซิกแพคด้วยการออกกำลังกายแล้วไม่เห็นผลลัพธ์
บริเวณที่เหมาะสำหรับผ่าตัดดูดไขมัน
การสร้างซิกแพคด้วยการผ่าตัดดูดไขมัน เป็นการดูดไขมันเฉพาะส่วนซึ่งปัจจุบันมีเทคนิคการดูดไขมันหลายวิธี แต่ละเทคนิคมีข้อดีข้อด้อยและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการดูดไขมัน ได้แก่
- บริเวณเอวด้านหน้า
- บริเวณหน้าท้องบน
- บริเวณหน้าท้องล่าง
- บริเวณสะโพกล่าง
- บริเวณใต้ราวนม
การเตรียมตัว ก่อนผ่าตัดสร้างซิกแพค
- ศึกษาเกี่ยวกับซิกแพคและการผ่าตัดสร้างซิกแพค
- เลือกคลินิกศัลยกรรมที่มีชื่อเสียง มีผลงานจากการรีวิว และเป็นคลินิกที่จดทะเบียน ได้รับอนุญาตถูกต้อง
- พบแพทย์ เพื่อพูดคุยแจ้งความต้องการ พร้อมแจ้งข้อมูลส่วนตัว เช่น โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา การใช้ยารักษาโรค และต้องการใช้ยาชา หรือดมยาสลบ กรณีกลัวเจ็บ
- กรณีรับประทานยาบางชนิด แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ยาบางชนิด เช่น ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือยาลดการอักเสบ ก่อนการเข้ารับการทำอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดสร้างซิกแพค อย่างเคร่งครัดเช่น วันแพทย์นัดควรมีญาติหรือเพื่อนมาด้วย
- รักษาน้ำหนักให้คงที่ประมาณ 6-12 เดือนก่อนเข้ารับบริการผ่าตัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีซิกแพคสวยเป็นธรรมชาติ
การดูแลหลัง ผ่าตัดสร้างซิกแพค
การผ่าตัดสร้างซิกแพค ก็คือการลดไขมันเฉพาะส่วนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือช่วยให้มองเห็นซิกแพคได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มักอยากได้ซิกแพคใหญ่ ๆ เห็นร่องชัดเจน เพื่อให้ได้ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องตามที่ต้องการ การเลือกคลินิก เลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญจะสามารถดีไซน์การสร้างซิกแพคให้เหมาะกับแต่ละบุคคล และผลลัพธ์ที่ดียังขึ้นอยู่กับการดูแลหลังผ่าตัดสร้างซิกแพคอีกด้วย ซึ่งการดูแลตนเองหลังผ่าตัดทำได้ ดังนี้
- กรณีใช้ยาชา หลังการผ่าตัดสร้างซิกแพค สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที
- กรณีใช้ยาสลบ หลังการผ่าตัดสร้างซิกแพค ต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อย 1 คืนหรือสามารถกลับบ้านได้ตามคำแนะนำของแพทย์
- ใส่ชุดช่วยพยุงที่แพทย์ให้หลังการผ่าตัดตลอดเวลา เพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น
- ระวังแผลกดทับ และสามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้ ภายใน 2 สัปดาห์
- พบแพทย์เพื่อติดตามผลตามนัด
เครื่อง Vaser Smooth 2.2 คืออะไร ช่วยสร้างซิกแพคได้อย่างไร
เครื่อง Vaser Smooth 2.2 เป็นเครื่องดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ จุดเด่นของเครื่องในการสร้างซิกแพค ก็คือสามารถดูดไขมันเฉพาะส่วนได้ดี โดยทำให้ไขมันแตกตัวเป็นของเหลว ง่ายต่อการดูดออกมา และสามารถดูดไขมันออกมาได้ในปริมาณมากในคราวเดียว และไม่ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงอย่างเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบ ๆ ได้รับความเสียหายหรือถูกกระทบกระเทือน อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำและบวมหลังการรักษา ทำให้แผลหายเร็ว ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
สร้างซิกแพคผู้ชาย ด้วยมือแพทย์ ทำที่ไหนดี
การสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ เป็นทางเลือกของคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ให้ผลลัพธ์ได้รวดเร็ว และยังเป็นวิธีแก้ปัญหาให้กับคนที่ออกกำลังกายอย่างหนักแล้ว แต่ซิกแพคไม่ขึ้น ปัจจุบันการสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์และเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยม เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย ได้แก่ การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 จากเมโกะ คลินิก จุดเด่นของการดูดไขมัน ที่ เมโกะ คลินิก
- การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 ซึ่งเป็นเทคนิคของเมโกะ คลินิก สามารถดูดไขมันเฉพาะส่วนได้ดี โดยผู้ที่เข้ารับการบริการอาจไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
- ขั้นตอนการทำใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทของส่วนที่ดูดและหลังทำเสร็จอาจต้องสังเกตอาการอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
- การดูดไขมัน ที่ เมโกะ คลินิก ใช้วิธีดมยาสลบทุกเคส มีวิสัญญีแพทย์ดูแลเน้นความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้รับบริการไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ
- เป็นคลินิที่ได้มาตรฐาน ได้รับอนุญาตถูกต้อง แพทย์มีความเชี่ยวชาญ การดูดไขมันแผลเล็ก แผลสวย ช้ำน้อย ช่วยให้แผลหายไว
- สถานที่ สถาพแวดล้อม ห้องพยาบาลและเครื่องมือที่ใช้ทันสมัยได้มาตฐานระดับสากล
สรุป
การสร้างซิกผู้ชายเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลาย ๆ คนปรารถนา เพราะการมีกล้ามเนื้อหน้าท้องสวย ๆ ทำให้รูปร่างดูดี มีเสน่ห์ ดูเป็นคนใส่ใจสุขภาพมีสุขภาพที่แข็งแรง ปัจจุบันการสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ เป็นทางเลือกและทางลัดทำให้มีลอนกล้ามเนื้อสวยงามเป็นธรรมชาติ ได้อย่างรวดเร็วโดยการดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 การสร้างซิกแพคผู้ชายอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพคที่แข็งแรงสวยงามในเวลาอันรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือออกกำลังกายอย่างหนักแล้วปั้นซิกแพคไม่ขึ้น การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 จากเมโกะ คลินิก ตอบโจทย์ทุกความต้องการค่ะ
ผู้ชายส่วนใหญ่การออกกำลังกายและเล่นฟิตเนส จุดประสงค์หลักก็เพื่อการมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียกว่า “ซิกแพค” มาช่วยเพิ่มความมั่นใจเสริมรูปร่างให้มีเสน่ห์น่าดึงดูดยิ่งขึ้น แต่การสร้างซิกแพคผู้ชาย ออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว หรือบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่ถูกจุด ซิกแพคอาจไม่ขึ้นหรือเห็นผลลัพธ์ได้ช้า ใครที่ออกกำลังกายแล้วมีปัญหานี้ เมโกะ คลินิก มีศัลยกรรมซิกแพค มาแนะนำค่ะ
ซิกแพคคืออะไร ทำไมผู้ผู้ชายต้องมีซิกแพค
ซิกแพคเป็นคำทับศัพท์มาจากคำว่า Six Pack หมายถึง หน้าท้องที่แบนเรียบแข็งแรง และดูเข็งแกร่ง เห็นได้อย่างชัดเจนจากกล้ามเนื้อหน้าท้องจำนวน 6 มัด ที่อยู่ข้างซ้าย 3 มัดและข้างขวา 3 มัด โดยกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทุกคนจะมีเหมือนกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะเห็นมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ซิกแพคเกิดบริเวณไหนบ้าง ทำไมทุกคนมีไม่เท่ากัน
ซิกแพคเกิดขึ้นได้บริเวณเดียวเท่านั้น ก็คือบริเวณหน้าท้องคล้ายกับกล้ามเนื้อบริเวณแขน ขาหรือหน้าอก แต่กล้ามเนื้อซิกแพคจะมีมีลักษณะเป็นลูก ๆ และเป็นลอนสวย โดยธรรมชาติคนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกล้ามท้อง แต่เหตุที่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่เท่ากันหรือมองไม่เห็นซิกแพค เพราะมีชั้นไขมันบดบังไว้การจะมีซิกแพคจึงต้องสร้างขึ้นมา พร้อมด้วยการกำจัดไขมันส่วนเกินให้หมดไป
ทำไมผู้ผู้ชายต้องมีซิกแพค ออกกำลังกายแล้วซิกแพคไม่ขึ้น เพราะอะไร
การมีซิกแพคหรือกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรงเป็นลอนสวย ช่วยเสริมรูปร่างของผู้ชายให้มีเสน่ห์น่ามอง อีกทั้งการที่ผู้ชายมีซิกแพคยังปรับบุคลิกภาพให้ดูแมน ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และเสริมการแต่งตัวให้ดูเท่แลดูดีมากยิ่งขึ้น สร้างกล้ามเนื้อที่สวยและดูแข็งแรง แต่การสร้างกล้ามเนื้อที่สวยและดูแข็งแรง นอกจากต้องใช้เวลาแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ออกกำลังกายแล้วซิกแพคไม่ขึ้น เช่น
- ร่างกายและบริเวณหน้าท้องมีไขมันสะสมอยู่จำนวนมาก การออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันจึงต้องใช้เวลา ทำให้เห็นซิกแพคช้าตามไปด้วย
- ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือออกกำลังกายผิดวิธี
- เลือกรับประทานอาหารไม่ครบทุกหมวดหมู่ ตามหลักโภชนาการ
- โฟกัสไม่ถูกจุด และออกกำลังกายไม่มากพอ เพราะการออกกำลังกายเพื่อสร้างซิกแพคต้องบริหารกล้ามเนื้อท้องให้ถูกวิธีและออกกำลังให้เหมาะสม
สร้างซิกแพคผู้ชายมีกี่วิธี
สำหรับผู้ชายที่ต้องการสร้างซิกแพค อาจเข้าใจว่าซิกแพคสร้างได้ด้วยการออกกำลังกายเท่านั้น ถือเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด ทั้งนี้การสร้างซิกแพคเพื่อให้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง ลักษณะซิกแพคเป็นลอนสวย หลัก ๆ ทำได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การสร้างซิกด้วยตัวเอง และการสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ ซึ่งทั้ง 2 แนวทางทำได้หลายวิธีรวมทั้งมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ดังนี้
1.การสร้างซิกด้วยตัวเอง
การสร้างซิกแพคผู้ชายที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ได้แก่การออกกำลังกายซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการออกกำลังกายทั่วไป และออกกำลังกายเพื่อปั้นซิกแพคโดยเฉพาะ รวมทั้งการออกกำลังกายในฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกาย พร้อมผู้ให้ความรู้ในการใช้อุปกรณ์ เพื่อให้ใช้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสำหรับการปั้นซิกแพค ส่วนใหญ่การออกกำลังกายเพื่อปั้นซิกแพค นิยมทำคู่กับการควบคุมอาหาร ข้อดีของการสร้างซิกแพคด้วยตัวเอง คือไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ให้ผลลัพธ์ช้าหรือปั้นซิกแพคไม่ขึ้น
2.การสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์
การสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์เป็นทางเลือกของคนที่ต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างรวดเร็ว หรือผู้ชายที่ต้องการมีหน้าท้อง แต่ออกกำลังกายสร้างซิกแพคด้วยตัวเองแล้วไม่เห็นผล การสร้างซิกแพคด้วยแพทย์ คือการศัลยกรรมซิกแพคอย่างหนึ่งเป็นการดูดไขมันด้วยเครื่องดูดไขมันประสิทธิภาพสูง เช่น ดูดไขมันด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 เพื่อลดไขมันเฉพาะส่วน ข้อดีคือ สามารถสร้างซิกแพคและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องได้รวดเร็วกว่าการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
ศัลยกรรมซิกแพค ด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 เหมาะกับใคร
ศัลยกรรมซิกแพค หรือการดูดไขมันหน้าท้องไม่ใช่การกำจัดไขมันเพื่อลดน้ำหนัก แต่เป็นการช่วยให้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือเห็นซิกเพคที่ชัดเจนได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับคนทุกคนเพราะสามารถทำได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย และควรมีอายตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายเริ่มไม่มีความเปลี่ยนแปลงหรือหยุดการเจริญเติบโต และยังเหมาะกับกลุ่มบุคคลต่อไปนี้
- ผู้ที่ต้องการสร้างซิกแพค โดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่สามารถขจัดไขมันในบางบริเวณออกไปได้
- ผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่ต้องการมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ มีไขมันไม่มากนัก สุขภาพแข็งแรง
- ที่มีปริมาณไขมันบริเวณช่วงท้องจำนวนมาก
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย BMI ต่ำกว่า 30
- ผู้ที่ต้องการดูดไขมันหน้าท้อง เพื่อสร้างซิกแพค และไม่มีโรคประจำตัว
- ผู้ที่ต้องการสร้างซิกแพค และมีความคาดหวังอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่คาดหวังมากเกินไปแบบไม่สมเหตุสมผล
ศัลยกรรมซิกแพคควรเตรียมตัวอย่างไร
- พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและพูดคุยถึงความต้องการและเป้าหมายของการดูดไขมันเพื่อสร้างซิกแพค
- แจ้งให้แพทย์ทราบข้อมูลโรคประจำตัว ยาโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด ประวัติการแพ้ยาและประวัติการแพ้อาหาร
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย ๆ เพราะหลังดูดไขมันอาจมีน้ำซึมออกมาจากบาดแผล เปื้อนเสื้อผ้าได้
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ เนื่องจากหลังดูดไขมันอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และวิงเวียนศีรษะได้
- วันแพทย์นัด ควรมีญาติหรือเพื่อนมาด้วย ไม่ควรขับรถมาคนเดียว เพราะหลังการดูดไขมันผู้รับบริการจะมีอาการอ่อนเพลีย
- การดูดไขมันสำหรับคนที่จะวางยาสลบ เนื่องจากเป็นคนที่กลัวเจ็บและเลือกดูดไขมันด้วยการดมยาสลบ การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันทำได้ ดังนี้
- งดอาหาร งดเครื่องดื่มทุกชนิด งดสูบบุหรี่
- งดแต่งหน้าหรือทาครีม
- งดสวมเครื่องประดับ
- งดอาหารเสริมและยา
ขั้นตอนการศัลยกรรมซิกแพคด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2
- การดูดไขมันหน้าท้องด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 แพทย์จะทำการออกแบบการสร้างซิกแพค โดยทำการกำหนดจุดบริเวณลายเส้นเกล้ามเนื้อ ที่ต้องการนำไขมันออก
- วิสัญญีแพทย์ จะให้ดมยาสลบสำหรับคนที่กลัวเจ็บ ไม่ต้องการดูดไขมันด้วยการฉีดยาชา พร้อมทั้งคอยดูแลตลอดการผ่าตัด
- หลังจากการฉีดยาชา หรือดมยาสลบ แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็ก และทำการใส่ Tumescentเพื่อเข้าไปทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นหดตัวจะทำให้ขณะดูดไขมัน คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บปวด ซึ่งสูตรในการผสมของ Tumescent นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก
- หลังจากยาออกฤทธิ์ แพทย์เริ่มทำการดูดไขมัน ด้วยเครื่องดูดไขมัน Vaser Smooth 2.2 เครื่องจะใช้พลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ในการสร้างพลังความร้อนสลายไขมันทำให้ไขมันแตกตัวกลายเป็นน้ำมันโดยที่พลังงานความร้อนจะต้องไม่สูงมากจนเกินไปเพื่อไม่ทำให้ผิวเกิดคลื่นหรือไหม้
- ขั้นตอนสุดท้ายแพทย์จะทำการดูดไขมันออกมาและเย็บปิดแผล แผลดูดไขมันจะเล็กมากประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
การดูแลตนเองหลังศัลยกรรมซิกแพค
- ช่วงแรกหลังจากดูดไขมัน ควรใส่ชุดกระชับตลอดเวลาเพื่อให้ให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นสัดส่วนเข้าที่ไวขึ้น และช่วยลดอาการบวม ช้ำ
- ควรงดการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 เดือน
- แม้แผลดูดไขมัน ด้วย เครื่อง Vaser Smooth 2.2 จะเล็กมาก ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ก็ควรทำความสะอาดแผลทุกวัน ป้องกันแผลติดเชื้อ
- ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมาก
- งดรับประทานของแสลงทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์
ภาวะแทรกซ้อนหลังศัลยกรรมซิกแพค
หลังทำการศัลยกรรมดูดไขมันสร้างซิกแพค แม้การดูดไขมันจะมีแผลเล็กและสามารถกลับบ้านได้ทันทีกรณีฉีดยาชา ยกเว้นการวางยาสลบที่อาจต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อย 1 คืน แต่ทุกการรักษาด้วยการศัลยกรรม อาจพบภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น มีอาการบวมเกิดขึ้นในบริเวณที่ทำ โดยอาการจะดีขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และหายสนิท ช่วง 3-4 เดือนหลังผ่าตัด แต่หากพบภาวะผิดปกติแผลสมานไม่ดี หรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบพบแพทย์
ข้อดี-ข้อเสีย ของการดูดไขมันสร้างซิกแพค ด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2
- สามารถดูดไขมันได้จำนวนมากและใช้เวลาน้อย ช่วยให้การสร้างซิกแพคผู้ชายทำได้ง่ายและเห็นผลรวดเร็วตามไปด้วย
- การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 มีอาการเจ็บและช้ำน้อยกว่าการดูดไขมันแบบอื่น ๆ
- สัดส่วนและไขมันบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- ข้อด้อยของการดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 แพทย์ต้องมีความชำนาญในการใช้อุปกรณ์
- มีข้อเสียคือความร้อนได้มีการทำลายเซลล์ไขมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถนำไขมันไปเติมส่วนอื่น ๆในร่างกายต่อได้
สรุป
ซิกแพคผู้ชาย การสร้างซิกแพคแม้จะทำได้หลายแนวทาง แต่การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง เป็นลอนสวยดูเป็นธรรมชาติ ต้องมีระเบียบวินัยและใช้เวลานาน การดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser Smooth 2.2 เป็นการสร้างซิกแพคด้วยมือแพทย์ ที่สามารถดูดไขมันได้จำนวนมากและใช้เวลาน้อย ช่วยให้การสร้างซิกแพคทำได้ง่ายและเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น เครื่อง Vaser Smooth 2.2 ยังเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการกำจัดไขมันแบบเฉพาะจุด มีประสิทธิภาพในการดูดไขมันสามารถกำจัดไขมันได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นการสร้างซิกแพคด้วยแพทย์ จึงให้ผลลัพธ์ที่ดีมีความสวยงามและดูธรรมชาติมากขึ้น
ด้วยความนิยมใน การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา วันนี้ทางเมโกะจึงจะมาให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับฟิลเลอร์เพื่อใช้ในการตัดสินใจในการฉีด ตั้งแต่ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร อันตรายไหม หลังฉีดไปแล้วเห็นผลทันทีจริงไหม ปริมาณที่ฉ๊ดต้องเท่าไหร่ดี ไปจนถึงขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์กันเลย
ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic Acid หรือที่รู้จักกันในวงการว่า HA เป็นสารที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีในร่างกายตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนและไฮยาลูรอน ที่ร่างกายมักสูญเสียไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยสาร HA จะเข้ามาเติมเต็มทุกร่องลึก ร่องแก้ม ใต้ตา แม้กระทังปรับรูปหน้า หน้าผาก คาง และปาก ให้ดูเด็กอ่อนกว่าวัย อีกทั้งยังช่วยสร้างมิติให้กับจุดต่าง ๆ บนใบหน้าให้อวบอิ่มดูเป็นธรรมชาติทำให้ใบหน้าดูเปล่งปลั่ง กระชับ กลับมาดูดีอีกครั้ง
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ได้จริงหรือไม่
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยทดแทนเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใต้ตาที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ซึ่งจะทำให้ร่องลึกใต้ตาดูตื่นขึ้น ผิวหนังกลับมาเต่งตึง นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังสามารถแก้ปัญหาอื่นๆ ได้ดังนี้
1.ปัญหาขอบตาดำคล้ำ
อาการขอบตาดำคล้ำ เป็นปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าที่พบได้มาก และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การนอนดึก ดื่มน้ำน้อย โดดแสงแดด รวมถึงโรคภูมิแพ้ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการขอบตาดำคล้ำ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยให้ดูจางลงได้อย่างเห็นผล
2.ช่วยแก้ปัญหาตาโหล เบ้าตาลึก
ปัญหาตาโหล เบ้าตาลึก ส่งผลโดยตรงต่อบุคลิกภาพ ทำให้แต่งหน้ายาก และขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะลักษณะตาโหล เบ้าตาลึก จะทำให้ใบหน้าดูโทรมไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยุ่งยากและเห็นผลได้ทันที โดยฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแทนที่ จะช่วยแก้ปัญหาตาโหล เบ้าตาลึก ทำให้ตาดูตื้นขึ้น
3.ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย
ปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย จะมีลักษณะเป็นถุงนูนออกมาบริเวณใต้ดวงตา ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย นอกจากทำให้มีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ยังทำให้หน้าดูเหนื่อย โทรม และอ่อนแรงตลอดเวลา การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยปรับรูปหน้าให้ตึงกระชับ ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่มีความอุ้มน้ำ และมีลักษณะเป็นเนื้อเจล หลังฉีดจึงเห็นผลได้ทันที
4.ริ้วรอยใต้ตา รอยย่นใต้ตา
ริ้วรอยใต้ตา รวมทั้งรอยย่นบริเวณใต้ตา หรือหางตา เกิดจากการที่ผิวแห้ง และมีการสูญเสียคอลลาเจนที่ทำให้ผิวเต่งตึงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น หรือเกิดจากการหดตัวซ้ำของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จากพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การขยี้ตา แสดงอารมณ์ทางสีหน้า หรือยิ้มตาหยี และการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการแก้ปีญหาที่ตรงจุด และเห็นผลทันทีหลังฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการรักษาริ้วรอยที่หย่อนคล้อย และเติมเต็มจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบ
การฉีดฟิลอร์ใต้ตา จะช่วยแก้ปัญหาร่องลึก ใต้ตาคล้ำริ้วรอย ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์หลังฉีดอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นนาน ๆ นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังสามารถสลายเองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้กับร่างกาย
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม
สารไฮยาลูรอนิก หรือที่เรียกว่า “HA”ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญของคอลลาเจน สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติแบบ 100 % ทั้งนี้ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปแล้วจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ปริมาณ 1-2 cc โดยแพทย์จะทำการประเมินปัญหาของแต่ละเคส เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสม หากฉีดเยอะเกินไปจะยิ่งทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังยืดออกมากเกินไปทำให้เสียความมั่นใจได้
ข้อควรระวัง เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีความปลอดภัยสูง หากเลือกฉีดฟิลเลอร์ ในสถานบริการที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ อย. โอกาสที่จะเกิดอันตรายน้อยมาก เนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เเละอยู่ได้นาน มีข้อควรระวัง ดังนี้
- ผู้มีประวัติการแพ้ฟิลเลอร์ หรือมีประวัติแพ้ยาชา ไม่ควรฉีด และควรแจ้งแพทย์เพื่อประเมินการใช้ยาในการฉีด
- ในกรณีอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ดูแลก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- กรณีเคยมีอาการแพ้สาร ไฮยาลูรอนิค แอซิด ควรให้ข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- ควรพิจารณาเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการฉีดฟิลเลอร์ปลอม
- มีภาวะอักเสบติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงหรือรักษาอาการติดเชิ้อให้หายก่อน
- ผู้ที่มีผิวใต้ตาหย่อนคล้อยมาก และผิวบาง การฉีดอาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนได้ ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเห็นผลทันทีไหม
การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นการแก้ปัญหาผิวและริ้วรอยร่องลึกได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลได้เลยหลังทำซึ่งคนไข้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทันที ทั้งการฉีดลดริ้วรอย ฉีดเสริมเพื่อเติมเต็มส่วนต่าง ๆ นอกจากเห็นผลทันทีไม่ต้องพักฟื้น ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว โดยช่วงแรกจะมีอาการบวม แดง นูน ฟกช้ำจากเข็มในระหว่างฉีด แต่จะค่อยๆ ดีขึ้น โดยจะหายบวม 2-5 วัน และฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ พร้อมเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์
จำนวน CC ที่เหมาะกับการฉีด
โดยปกติแล้วจะใช้ฟิลเลอร์เพียง 2 – 4 cc เท่านั้น หรือในเคสที่มีปัญหาน้อย ๆ ก็สามารถแบ่งฟิลเลอร์ 1CC สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้โดยแพทย์จะทำการประเมินและแนะนำการรักษาที่เหมาะสม ตามสภาพผิว เพื่อได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะหากฉีดโดยใช้ปริมาณ cc เยอะจนเกินไป เวลายิ้มจะทำให้ตาดูบวมไม่เป็นธรรมชาติได้
ผลข้างเคียงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
อาการทั่วไปที่มักพบ หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติและสามารถหายได้เอง ไม่เป็นอันตรายใด ๆ โดยอาการที่พบ มีดังนี้
1.รอยเขียวช้ำ
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บริเวณที่มีการฉีด จะเกิดรอยเขียวช้ำจากเข็ม ซึ่งจะหายได้เอง แต่หากบริเวณที่ฉีด มีสีเขียวช้ำมาก ผิวซีดเหมือนขาดเลือด มีอาการเจ็บ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันที
2.อาการบวมช้ำ
เมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในร่างกาย ช่วงแรก ๆ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาอักเสบเกิดขึ้น หรือเรียกว่า (Inflammation process) เนื่องจากสารในฟิลเลอร์ เป็นสาร Hyaluronic acid ที่เป็นสารอุ้มน้ำ จะทำให้มีอาการบวมไม่เกิน 2 สัปดาห์จะค่อยๆทุเลาและยุบลง แต่หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ผื่นขึ้น ผิวแดง ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที
3.เจ็บระบม
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการฉีด จะมีอาการอักเสบ ระบม เนื่องจากเข็มที่ฉีดเข้าไปในเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อมีการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่จะหายไปเองในช่วง 7-14 วัน แต่หากมีอาการเจ็บนานกว่านี้ควรทำการปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที
โดยทั่วไปผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเกิดขึ้นได้แต่ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง และหายไปได้เอง ทั้งนี้ผู้รับบริการอาจได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิด และยี่ห้อของฟิลเลอร์ การเลือกคลินิก ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของแพทย์ รวมทั้งการดูเเลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ของผู้รับบริการ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เมื่อแพทย์ทำการตรวจสอบวินิจฉัย พร้อมประเมินปัญหาจะทำการเตรียมฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 5- 20 นาที โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1.ทำการฉีดสลายฟิลเลอร์
ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเข้าไปแล้วพบว่ามีขนาดก้อนเกิดขึ้นแต่ไม่ใหญ่มาก แพทย์จะทำการฉีดยาสลาย เพื่อให้ผิวเรียบเนียน โดยไม่จำเป็นต้องเติมฟิลเลอร์เพิ่ม
2.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแก้ไขทับลงไป
วิธีนี้เหมาะกับฟิลเลอร์เป็นก้อนขนาดเล็กเท่านั้น โดยมักพบหลังจากฉีดไปแล้ว 2-3 เดือน มีโอกาสเป็นก้อนปูดเกิดขึ้นได้
3.ขูดฟิลเลอร์ออก
กรณีที่พบว่าก้อนฟิลเลอร์ใหญ่เกินไป และมีความแข็ง แพทย์จะประเมินแล้วทำการเจาะ แล้วขูดออก แต่ถ้าขนาดใหญ่มาก ๆ ขนาดใหญ่เกินแพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลและตัดก้อนนั้นออก
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น ช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาลึก ริ้วรอยบริเวณใต้ตา หรือปัญหาถุงใต้ตาได้ ส่งผลทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา หรือการผ่าตัด ทั้งนี้ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ผ่านอย.แล้ว เลือกสถานบริการที่มาตรฐาน โดยทีมแย์ผู้เชี่ยวชาญเพราะจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีและปลอดภัย ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ปัจจุบันนวัตกรรมความงามด้วยการเลเซอร์มีหลายรูปแบบและหลายเทคนิควิธีที่ได้รับความนิยมทั้งหญิงและชาย ไม่ว่าจะเป็นการเลเซอร์เพื่อความงาม เลเซอร์หนวด เลเซอร์กำจัดขน เลเซอร์รักแร้ขาว การเลเซอร์ขนขา หรือแม้แต่การเลเซอร์ขนในที่ลับ Gentle yag laser และ IPL ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่คลินิกความงามและศูนย์ศัลยกรรมความงามนำมาให้บริการแก่ลูกค้า
ในวันนี้ทางเมโกะจึงจะมาบอกเล่าความรู้เกี่ยวกับเครื่องยิงเลเซอร์กำจัดขนเพื่อความงามชนิดนี้กัน ตั้งแต่ Gentle yag laser คืออะไร มีการทำงานอย่างไร และมีความแตกต่างอย่างไรกับ IPL หาคำตอบได้ในบทความนี้เลยค่ะ
Gentle yag laser คืออะไร
Gentle yag laser หรือ เลเซอร์เจนทัลแย็ก เป็นนวัตกรรมกำจัดขน ที่สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นของแสงสูง เครื่องเลเซอร์แท้ จากอเมริกา ได้รับการรับรองจาก US FDA เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ดีที่สุดในโลก ทำให้มีคุณสมบัติในการกำจัดขนได้ลงลึกถึงรากขนใต้ผิวหนังซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเส้นขน ทำให้เส้นขนบางลงหรือมีปริมาณลดน้อยลงจนสามารถกำจัดขนได้ถาวร และยังให้ผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนัง นอกจากนั้นยังทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาการเกิดขนคุด หนังไก่ ลดขนาดรูขุมขนให้เล็กลงอีกด้วย
การเลเซอร์กำจัดขนด้วยเครื่อง Gentle YAG ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย สามารถกำจัดขนได้ทุกบริเวณของร่างกาย ไม่ว่าจะบริเวณขนใบหน้า ไปจนถึงขนบริเวณจุดซ่อนเร้น การทำงานของเครื่อง Gentle YAG จะปล่อยคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร เข้าไปทำลายรากขนที่อยู่ภายในชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้รากขนถูกทำลายอย่างถาวร ขณะยิงเลเซอร์ จะมีเครื่องเป่าลมเย็นเพื่อช่วยลดอาการเจ็บ และช่วยปกป้องผิวชั้นบน ข้อดีของการเลเซอร์กำจัดขน หากทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 5-8 ครั้ง จะทำให้เส้นขนลดลงอย่างถาวร โดยไม่ต้องกลับมาทำซ้ำอีก
การทำงานของ Gentle yag laser
การทำงานของ Gentle yag laser เนื่องจากเป็นเลเซอร์ ที่มีความยาวของคลื่นแสงสูง ทำให้แสงสามารถผ่านลงไปสู่ผิวได้ลึกกว่า เมื่อเทียบกับเลเซอร์อื่น ๆ สำหรับการทำงานของ Gentle yag laser ในการกำจัดขน มีขั้นตอนการทำงาน ดังนี้
- Gentle yag laser เป็นเทคโนโลยีคลื่นพลังงานเลเซอร์ มีความยาวของช่วงคลื่น 1064 nmการทำงานขณะที่คลื่นพลังงานถูกส่งลงไปบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ความร้อนจากพลังงานเลเซอร์จะไปจับกับรากของเส้นขน เมื่อเส้นขนได้รับความร้อนในระดับหนึ่ง รากขนจะหยุดการเจริญเติบโต และฝ่อตัวลงไปในที่สุด
- เมื่อรากขนหยุดการเจริญเติบโต เส้นขนที่ต้องการกำจัดก็จะค่อย ๆ หลุดร่วงไปและไม่กลับมาขึ้นอีก ส่วนปริมาณขนที่ถูกกำจัดออกไปต่อการทำ Gentle yag laser แต่ละครั้ง ประมาณ 20 – 30 % ของเส้นทั้งหมดในบริเวณที่ทำ
- การกำจัดขนให้หมดไปอย่างถาวร จึงต้องเลเซอร์ขนซ้ำ 5 – 8 ครั้ง เพื่อให้เส้นขนถูกกำจัดออกให้หมด
- การทำงานของ Gentle yag laser ในการกำจัดขน จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังจากทำครั้งที่ 4 – 5 เป็นต้นไป
- การทำเลเซอร์กำจัดขนด้วย Gentle yag laser นอกจากเป็นวิธีกำจัดขนที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ยังเกิดผลข้างเคียงได้น้อยที่สุด
กำจัดขนด้วย Gentle YAG กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
การกำจัดขนด้วย Gentle YAG เป็นการทำเลเซอร์ขนที่ดีที่สุด เพราะสามารถกำจัดได้ลึกถึงรากขนซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดขนคุดให้หายได้อย่างถาวร และยังเป็นนวัตกรรมกำจัดขนด้วยพลังงานเลเซอร์ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยขนจะลดลงไป 20-30 % ของการทำในแต่ละครั้ง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 5-8 ครั้ง นอกจากนั้น จำนวนครั้งของการยิงเลเซอร์ด้วยเครื่อง Gentle YAG ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
- ขนาดและความหนาของเส้นขน โดยผู้รับบริการแต่ละบุคคลจะมีขนาดและความหนาของเส้นขนแตกต่างกัน
- การตอบสนองต่อพลังงานเลเซอร์ เนื่องจากการกำจัดขนด้วย Gentle YAG สามารถกำจัดขนได้ทุกบริเวณของร่างกาย การตอบสนองต่อพลังงานเลเซอร์ในแต่ละบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย
- ปริมาณเส้นขนในแต่ละบริเวณมีมากน้อยแตกต่างกัน ทำให้มีผลต่อจำนวนครั้งในการกำจัดขน
บริเวณที่กำจัดขน ด้วย Gentle YAG
- เลเซอร์ขนบริเวณจุดซ่อนเร้น เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 6-10 ครั้ง
- เลเซอร์ขนบริเวณรักแร้ เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 6-8 ครั้ง
- เลเซอร์ขนบริเวณแขน หรือขา เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 8 – 10 ครั้ง
การเตรียมตัวก่อนกำจัดขนด้วย Gentle yag laser
การเลเซอร์กำจัดขนด้วย Gentle yag laser เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกำจัดขน และทำให้ผิวเนียนกระชับ ไร้ริ้วรอย อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยที่สุด เพราะเป็นเครื่องมือที่องค์การอาหารและยา แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) ให้การรับรองว่าสามารถยกกระชับหน้า ถอนขนถาวร และกำจัดขนคุด
โดย ไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำการรักษา ไม่มีบาดแผลหรือรอยด่างดำหลังการรักษา สำหรับการเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วย Gentle yag laser
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางก่อนการทำเลเซอร์
- หากแต่งหน้า ก็เพียงล้างหน้าหรือลบเครื่องสำอางออก
- งดการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังไวต่อแสงเป็นเวลา 3-5 วันก่อนการทำเลเซอร์
- หลีกเลี่ยงการกำจัดขนด้วยวิธีแวกซ์ ถอน และการใช้ไฟฟ้า
- หลีกเลี่ยงการย้อมสีขนบริเวณที่ต้องการเลเซอร์เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ก่อนทำ
- ผู้ชายควรโกนหนวดก่อนการรักษาเพื่อไม่ให้เส้นขนกีดขวางแสงเลเซอร์ งดการอาบแดด หรือ
หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องเผชิญแสงแดด ก่อนทำการรักษาอย่างน้อย 7 วัน
Not found idข้อดี-ข้อเสียของ Gentle yag
การรักษาและกำจัดขนด้วย Gentle yag เป็นการทำเลเซอร์หน้าที่เหมาะสำหรับการกำจัดเส้นขนที่ไม่พึงประสงค์ในคนทุกเพศทุกวัย และมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้กับผิวทุกชนิดทุกสีผิว แต่การทำงานของ Gentle yag laser มีข้อดีข้อด้อยที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของ Gentle yag
- Gentle yag เป็นเลเซอร์กำจัดเส้นขนที่สามารถทำได้ในคนทุกเพศทุกวัย
- สามารถกำจัดขนได้ลึกถึงรากขน ทำให้ขนหลุดร่วงออกมาทั้งราก และลดการเกิดขึ้นใหม่ของขน
- สามารถทำความสะอาดใบหน้าได้ดีขึ้น
- ช่วยลดเลือนเม็ดสีส่วนเกินในผิว ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอกัน
- ช่วยให้การบำรุงผิวหน้ามีประสิทธิภาพ เพราะเนื้อครีมสามารถซึมสู่ชั้นผิวได้ดียิ่งขึ้น
- ประหยัดเวลาในการแต่งหน้า สามารถแต่งหน้าได้ง่าย และแต่งหน้าได้เรียบเนียนติดทนนานมากขึ้น
- Gentle Yag เป็นวิธีที่นิยมใช้กับผู้ที่มีสีผิวเข้ม เพราะเลเซอร์จะดูดซับเม็ดสีเมลานินในผิวหนังได้น้อย ทำให้มีผลข้างเคียงอย่างอาการแสบร้อน บวม หรือรอยแดงหลังการทำน้อยกว่าการใช้เลเซอร์กำจัดขนชนิดอื่น ๆ
- ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย (FDA) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ข้อจำกัดและข้อเสียของ Gentle yag
- ต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด และระวังเรื่องแสงแดดที่กระทบผิวโดยตรง
- หากต้องการกำจัดขนให้หมดไป ต้องทำต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3-5 ครั้ง
- การดูแลรักษา จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจเสี่ยงผิวไหม้เบิร์นจากการยิงเลเซอร์ได้
- ค่าใช้จ่ายในการทำสูงกว่ากำจัดขนด้วยวิธีอื่น
การกำจัดขนแบบ Gentle Yag มีผลข้างเคียงหรือไม่
การกำจัดขนแบบ Gentle Yag มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง ได้แก่ ช่วงแรกหลังการทำเลเซอร์กำจัดขน ผิวหนังบริเวณที่ได้รับเลเซอร์อาจระคายเคือง บวม และเกิดเป็นรอยแดงขึ้นมา คล้ายๆ กับอาการผิวไหม้แดด อาจมิอาการนาน ตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมงถึงหลายชั่วโมง สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น หรือประคบด้วยน้ำแข็ง
ค่าใช้จ่ายในการกำจัดขนแบบ Gentle Yag
สำหรับค่าใช้จ่ายในการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ Gentle Yag นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ทำ ความกว้างของพื้นที่ผิวหนังที่ต้องการกำจัดขน และยังขึ้นอยู่กับสถานบริการหรือคลินิกที่เลือกใช้บริการ เนื่องจากแต่ละแห่งมีเทคนิควิธี การเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความทันสมัยแตกต่างกัน รวมทั้งความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ
วิธีสังเกตเครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้
เครื่อง Gentle YAG Pro-U คือเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่นำมาใช้ในการรักษาและกำจัดขน มีคุณสมบัติที่โดดเด่น เพราะเป็นเครื่องเลเซอร์กำจัดขนที่มีความยาวคลื่นแสงสูง ทำให้แสงสามารถผ่านลงไปในชั้นผิวได้ลึกถึงแหล่งกำเนิดเส้นขน จึงสามารถเผาผลาญและทำลายรากขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำได้กับคนทุกสีผิว แต่ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต้องเป็นการกำจัดขนด้วยเครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้เท่านั้น ซึ่งสามารถสังเกตได้ ดังนี้
- เครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้ ต้องได้รับการรับรองจาก U.S. FDA (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา)
- เครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้ จะต้องมีหัวยิงหลายขนาด เพื่อให้เลือกใช้กำจัดขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเหมาะสม
- การทำงานของเครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้ ในการกำจัดขนทุกส่วนของร่างกายไม่ต้องใช้เจลทาก่อนเริ่มกำจัดขนไม่ทำให้รู้สึกร้อนต่อผิว แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- ศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและจดจำลักษณะหรือสีของเครื่อง Gentle YAG Pro-U ซึ่งจะมีเอกลักษณ์เฉพาะเอาไว้ เพื่อเปรียบเทียบกับเครื่องของคลินิกที่สนใจเข้ารับบริการ
- ตรวจดูรายชื่อบริษัทหรือชื่อคลินิกและสถานพยาบาลที่ซื้อเครื่องไป โดยการติดต่อบริษัทผู้นำเข้าเครื่อง Gentle YAG Pro-U อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
- เลือกรับบริการจากคลินิกที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และจดทะเบียนได้รับอนุญาตถูกต้อง เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าใช้เครื่อง Gentle YAG Pro-U ของแท้
Gentle yag laser กับ IPL แตกต่างกันอย่างไร
IPL คืออะไร
IPL ย่อมาจากคำว่า Intense Pulsed Light เป็นเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้งานในการรักษาริ้วรอยบนผิวหนังและใช้ในการปรับสภาพผิวหน้าให้กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและผิวพรรณ ปัจจุบันมีเครื่อง IPL หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
การทำงานของ IPL
IPL หรือ Intense Pulsed Light คือแสงที่มีช่วงคลื่นแสงกว้าง ความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 นาโนเมตร ถึง 1,200 นาโนเมตร และยังเป็นนวัตกรรมการดูแลผิวที่สามารถรักษาปัญหาผิวหน้าได้ครอบคลุมภายในครั้งเดียว โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาในการรักษา 4-6 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เว้นระยะห่างครั้งละ 3-6 สัปดาห์ เช่น
- กำจัดขน บริเวณต่าง ๆ
- ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน
- ช่วยลดรอยสิว รอยดำ จุดด่างดำ ฝ้า และกระบางชนิด
- รักษาสิว โดยทำร่วมกับการทาสารบางชนิดในการฆ่าเชื้อสิว
- ปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ ผิวกระจ่างใสขึ้น
- ลดรอยแดงจากสิว และรอยแดงจากแผลเป็นนูน
การทำ IPL เหมาะกับใครบ้าง
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีความประสงค์อยากกำจัดขนรักแร้ ขนหน้า ขนแขนและขา
- ผู้ที่มีแผลเป็นรอยนูน หรือรอยแตกลายที่ผิว และมีภาวะเส้นเลือดขอด
- คนที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำและผิวหนังหย่อนคล้อย
- หญิงชายที่มีรอยสิว กระ ฝ้า ปานแดง และปานดำ
การทำ IPL ไม่เหมาะกับใคร
- สตรีที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีแนวโน้ม หรือมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
- คนที่มีผิวไวต่อแสง มีแผลเป็นระดับรุนแรงและมีขนาดใหญ่
- คนที่กำลังรับประทานยากลุ่มทินเนอร์เลือด หรือยาป้องกันยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ข้อดีของการรักษาโดยการทำ IPL
- การทำ IPL มีคลื่นแสงกระจายวงกว้าง ช่วยลดการทำลายชั้นผิวหนัง
- เป็นวิธีกำจัดขนและสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม
- การทำ IPL ไม่ทำให้เกิดบาดแผล
- แต่ละครั้งใช้เวลาในการรักษาน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ข้อด้อยของการรักษา
- การทำ IPL ต้องใช้เวลาพักฟื้น
- จำเป็นต้องทำการรักษาหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
- มีค่าใช้จ่ายสูง
ก่อนทำ IPL ควรเตรียมตัวอย่างไร
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง และมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการ
- พบแพทย์ประจำคลินิก เพื่อตรวจสภาพผิวและอาการที่ต้องการรักษา เพื่อประเมินว่าสามารถทำ IPL ได้หรือไม่
- ก่อนทำ IPL ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวโดนแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ขน การโกนขน และการฉีดคอลลาเจน ประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนทำ IPL
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เลือดออก เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน
การดูแลตนเอง หลังทำ IPL
- หลังทำ IPL หากรู้สึกปวดแสบปวดร้อนนานกว่า 4-6 ชั่วโมง ให้ประคบผิวด้วยผ้าเย็น
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง เช่น ครีม โลชั่น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
- ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้ความอ่อนโยนต่อผิว
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวถลอก ระคายเคือง และเกิดแผลได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ทุก ๆ 2 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงของการรักษาโดยการทำ IPL
ผลข้างเคียง เช่น ผิวแดง ปวดแสบปวดร้อน ผิวเป็นรอยด่าง สีผิวเข้มขึ้น และอาจหายเองได้ภายใน 2-3 วัน
ความแตกต่าง ระหว่างการทำ Gentle yag laser กับ IPL
1.การกำจัดขนด้วยการทำ Gentle yag laser
- เป็นเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดขนอย่างเฉพาะเจาะจง
- พลังงานเลเซอร์สามารถลงลึกถึงรากขน
- คุณสมบัติของเลเซอร์ สามารถทำลายเซลล์รากขนให้ตายลง โดยไม่ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณข้างเคียงเกิดความบอบช้ำ
- ใช้ระยะเวลาการทำเพียง 6-12 ครั้งอย่างต่อเนื่อง
- สามารถให้ผลลัพธ์ผิวเรียบเนียนปราศจากเส้นขนได้นานอย่างน้อย 1-2 ปีหรืออาจนานกว่านั้น
2.การทำ IPL
- การทำ IPL เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์พลังแสงความเข้มข้นสูง กระจายพลังงานความร้อนเป็นวงกว้างครอบคลุมทั่วพื้นที่ผิวอย่างไม่เฉพาะเจาะจงต่างจาก การทำ Gentle yag laser
- เลเซอร์มีความสามารถในการลงลึกได้ในระดับผิวชั้น Epidermis หรือชั้นหนังกำพร้า ไปจนถึงด้านบนของชั้นผิวหนังแท้ หรือชั้น Dermis เท่านั้น ไม่สามารถลงลึกถึงเซลล์รากขน
- การทำ IPL ไม่ได้มีความสามารถในการกำจัดขนรักแร้ได้อย่างถาวร เหมือนกับการทำ Gentleyag laser แต่ทำได้เพียงชะลอการเจริญเติบโตของเส้นขน ช่วยให้เส้นขนขึ้นช้าลงหรือทำให้เส้นขนที่ขึ้นใหม่บางลง เมื่อทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
- การทำ IPL เหมาะสำหรับนำมาใช้ดูแลผิว ปรับผิวกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน ลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระให้จางลงได้
สรุป
นวัตกรรมความงามด้วยการเลเซอร์มีหลายรูปแบบ การทำ Gentle yag laser และ IPL ถือเป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ดีที่สุดในการนำมาใช้กับธุรกิจความงาม แต่ผลลัพธ์และการนำมาใช้อาจมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน โดยการทำ Gentle yag laser เป็นการใช้เลเซอร์ในการกำจัดขนบนใบหน้าและกำจัดขนทุกบริเวณอย่างอ่อนโยนและปลอดภัย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยี Long Pulse Nd:YAG Laser ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA หรือองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ประสิทธิภาพทำลายลึกถึงรากขน แต่อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว ส่วนการทำ IPL เน้นการนำมาใช้เป็นทรีทเมนท์หน้าใส ลบรอยแดง รอยสิว ฝ้า กระ ส่วนการใช้เลเซอร์ในการกำจัดขน เพียงช่วยให้เส้นขนเจริญเติบโตได้ช้าลงไม่สามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร
หลุมสิวคือริ้วรอยบนใบหน้าที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็มีปัญหารอยสิวเช่นกัน และบางคนการเกิดสิวบนใบหน้ายังทำให้รูขุมขนกว้าง จนต้องทำการรักษาด้วยเลเซอร์ ปัญหาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง เกิดจากอะไร และการรักษาด้วยเลเซอร์ควรมีวิธีเตรียมตัวอย่างไร ข้อสงสัยเหล่านี้ เมโกะ คลินิก มีคำตอบมาให้ ค่ะ
การเกิดหลุมสิว
หลุมสิว คือแผลที่เกิดจากรอยสิวจนกลายเป็นแผลเป็น มีลักษณะเป็นหลุมมีรอยบุ๋มในผิว ทำให้เห็นผิวหนังไม่เรียบเนียน การเกิดหลุมสิวส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงจากการเกิดสิวแล้วมีการอักเสบรุนแรงจนเป็นแผลอยู่ในชั้นผิว เมื่อกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อหลังเกิดสิว ที่ไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อได้เพียงพอ ทำให้เนื้อเยื่อใต้ชั้นหนังกำพร้าหายไปจนกลายเป็นหลุมสิว ประเภทของรอยหลุมสิว มีด้วยกันหลายลักษณะ เช่น
- รอยหลุมสิวที่ยุบเข้าไปในผิวเป็นกรวยแหลม ฐานหลุมสิวลึก แคบเล็ก บางครั้งอาจลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ และเป็นหลุมสิวชนิดที่รุนแรง และรักษาได้ยากมากที่สุด
- หลุมสิวเป็นรอยแผลเป็นกว้างรูปวงกลมหรือวงรี มีขอบหลุมสิวชัดเจน หลุมสิวประเภทนี้ขอบและฐานของหลุมสิวกว้างเท่ากัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5 ไปจนถึง 4 มิลลิเมตร
- หลุมสิวที่มีลักษณะเป็นแผลตื้น ปากหลุมสิวค่อนข้างกว้าง แต่จะค่อยๆโค้งลง ทำให้ฐานหลุมสิวแคบกว่าปากหลุม และทำให้ผิวดูขรุขระเหมือนลูกคลื่น
การเลเซอร์รอยสิว
การเลเซอร์รอยสิว เป็นการรักษาหลุมสิวหรือรักษารอยสิววิธีหนึ่ง แม้จะมีแนวทางการรักษาหลุมสิว รอยสิว และรูขุมขนกว้างได้หลากหลายวิธี แต่การเลเซอร์หลุมสิวถือเป็นนวัตกรรมการรักษาผิวที่ช่วยปรับสภาพผิวให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างรวดเร็ว และเป็นเทรนด์การรักษาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยการยิงแสงเลเซอร์เข้าสู่บริเวณผิวที่มีปัญหา เพราะเลเซอร์คือรังสีที่มีความเข้มข้นสูง การใช้เลเซอร์จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างความอิ่มของผิว และกระตุ้นการสร้างชั้นผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น รูขุมขนเล็กลง และ ผิวดูเรียบเนียนขึ้น การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถทำได้กับหลุมสิวทุกประเภท โดยจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วถาวร
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขน
เลเซอร์หลุมสิว นอกจากเป็นการรักษารอยหลุมสิว และกระตุ้นการสร้างชั้นผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นหรือหายไปได้ ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนภายใต้ชั้นผิว ฟื้นฟูสภาพผิวให้เรียบเนียน ช่วยกระชับรูขุมขนและปรับสภาพเม็ดสีผิวให้สม่ำเสมอ การเลเซอร์หลุมสิวจึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหา ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดง ที่เกิดจากสิว เพราะการเลเซอร์ช่วยให้ริ้วรอย ฝ้า กระ และรอยดำจางลง
- ช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้างให้เล็กกระชับขึ้น ส่งผลให้ผิวหน้าดูกระชับเรียบเนียน
- การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ทำให้คนที่สีผิวไม่เรียบเนียน มีสีผิวสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ทำให้ผิวหน้าเรียบกระชับ ดูอ่อนเยาว์
- ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นต่าง ๆ บนใบหน้า
- คนทั่วไปที่มีปัญหาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวที่รักษาไม่หายหรือหายยาก
ข้อดีของการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์
การทำเลเซอร์หลุมสิว นอกจากเป็นนวัตกรรมความงามที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าและสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกแล้วยังมีข้อดีต่อผิวพรรณ เพราะเลเซอร์จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวแล้วยังกระตุ้นการสร้างอีลาสตินส่งผลทำให้ผิวแข็งแรงและกระชับขึ้นนั่นเอง ดังนี้
- การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ ช่วยให้ผิวหน้ากลับมากระจ่างใส เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ เรียบเนียน และ ลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า
- การเลเซอร์หลุมสิว ยังช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ทำให้เนื้อผิวหน้าดูละเอียดขึ้น
- การรักษาหลุมสิวด้วยการเลเซอร์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ สามารถรักษาหลุมสิวได้ทุกระดับความรุนแรง และรักษาได้ในขั้นตอนเดียว
- การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผิวและร่างกาย
- เลเซอร์หลุมสิว เป็นวิธีรักษาหลุมสิวให้หายไปอย่างถาวร
วิธีการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการรักษาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ด้วยเลเซอร์
การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีรักษาหลุมสิวได้ดีและเกิดผลข้างเคียงน้อย แต่เพื่อให้การรักษาเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ควรรักษาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 1-3 เดือน นอกจากนั้นการเตรียมตัวก่อนเลเซอร์รักษาหลุมสิว ก็มีส่วนสำคัญต่อการรักษาหลุมสิวให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับวิธีเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการรักษาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ด้วยเลเซอร์ มีดังนี้
- ศึกษาและเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้รีบใบอนุญาตถูกต้อง มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นผู้ให้บริการ
- พบแพทย์ประจำคลินิกหรือศูนย์ความงาม เพื่อตรวจดูปัญหาหลุมสิวล่วงหน้าก่อนวันนัดยิงเลเซอร์ รวมทั้งแจ้งประวัติการแพ้ยา (ถ้ามี) หรือเคย ศัลยกรรมใบหน้า และการทานฮอร์โมน ให้แพทย์ทราบ
- หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด หรืองดกิจกรรมกลางแจ้งก่อนรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อย่างน้อย 2-4สัปดาห์
- งดการทาครีมบำรุงหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ AHA และ whiteningรวมถึง ยาละลายหัวสิวอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนรับบริการ
- งดการทำหัตถการบริการผิวหน้า เช่น สครับผิว ขัดผิว ประมาณ 3 วันก่อนรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์
- งดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 – 5 วัน ก่อนรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์
การเลเซอร์ และชั้นตอนการเลเซอร์กระชับรูขุมขน
กระบวนการและขั้นตอนการรักษาหลุมสิว แม้จะเป็นการรักษาด้วยการเลเซอร์เช่นเดียวกัน แต่ขั้นตอนและการเลือกใช้อุปกรณ์รวมทั้งเทคนิคต่าง ๆ ของแต่ละคลิกนิคอาจแตกต่างกันไป ส่วนขั้นตอนหลัก ๆ มักเริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นสวมใส่แว่นตากันแสงเลเซอร์ให้กับผู้เข้ารับบริการก่อนยิงแสงเลเซอร์ไปที่ตำแหน่งของหลุมสิวทีละส่วน หลังจากนั้นแพทย์จะทาครีมหรือเจลเพื่อป้องกันอาการระคายเคืองและเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิว หลังเลเซอร์หลุมสิวแล้วผู้รับบริการสามารถเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น
วิธีดูแลหลังเข้ารับการเลเซอร์กระชับรูขุมขน
1.ประคบเย็น
หลังเข้ารับการเลเซอร์เพื่อรักษาหลุมสิว และกระชับรูขุมขน อาจมีอาการบวมและรอยแดงเกิดขึ้นได้ หากมีอาการบวมแดงสามารถทำการประคบเย็น หรือประคบน้ำแข็งเพื่อช่วยลดอาการบวมและลดรอยแดง นอกจากนั้นการประคบเย็นยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายผิว ลดอาการผิวระคายเคืองได้ดีอีกด้วย
2.งดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด ๆ
การทำเลเซอร์หน้าเพื่อรักษาหลุมสิวและริ้วรอย ทำให้ผิวหน้าบอบบางมากเป็นพิเศษ การเผชิญแสงแดดหรือรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ อาจเสี่ยงต่อการทำร้ายผิวหน้า ควรงดหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
3.บำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
หลังการยิงเลเซอร์รักษาหลุมสิว แพทย์หรือคลินิกที่ให้บริการจะมีมอยซ์เจอไรเซอร์ให้ใช้หลังการทำเลเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว นอกจากนั้นควรใช้ครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยนทาบำรุงผิวเป็นประจำ รวมทั้งทาครีมกันแดดทุกวันและทาซ้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเลือกค่า SPF อย่างน้อย 30 แม้อยู่ในบ้านก็ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวหน้าอยู่เสมอ และในระยะยาว หากจำเป็นต้องออกไปในที่โล่งต้องเผชิญแสงแดดโดยตรง ควรทาครีมกันแดด SPF 50+ และสวมหมวก กางร่ม หรือแว่นกันแดดเพื่อปกปิดผิวจากแสงแดดให้มากที่สุด
4.งดแต่งหน้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
หลังการทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว ผิวหน้าอาจมีรอยแดง มีอาการลอกเป็นขุย และเกิดเป็นสะเก็ต ควรหลีกเลี่ยงหรืองดแต่งหน้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะเครื่องสำอางอาจสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าได้ ควรรอให้ผิวฟื้นฟูตัวเองและกลับมาเป็นปกติเสียก่อน
5.ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน
การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวทำให้ผิวหน้าบางลง ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการเลเซอร์ แพทย์มักจะแนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ และระหว่างนี้ก็ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช่น เคลนเซอร์เคลนซิ่ง หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของกรด มีสารเคมี น้ำหอม หรือ แอลกอฮอล์
6.หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือสะกิดผิว
หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือสะกิดผิวที่ตกสะเก็ดหรือมีแผลจากการยิงเลเซอร์ เพราะอาจทำให้เกิดแผลที่หลุมสิวและทำให้หลุมสิวมีรอยคล้ำหรือเป็นหลุมลึกกว่าเดิมได้
7.รับประทานอาหารที่มี่ประโยชน์
รับประทานอาหารที่มี่ประโยชน์ นอนหลับพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันผิวแห้งและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น
8.เข้าพบแพทย์ทันที เมื่อมีอาการผิดปกติ
หากพบอาการผิดปกติ หรือเป็นสิวเพิ่มหลังจากยิงเลเซอร์ ให้กลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
ผลข้างเคียงจากการเลเซอร์หลุมสิว
การทำเลเซอร์เพื่อรักษาหลุมสิวและรักษาปัญหารูขุมขน หรือริ้วรอยอื่น ๆ เป็นการใช้เครื่องเลเซอร์ที่มีพลังงานเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของหลุมสิว และยังเป็นการทำเลเซอร์บนผิวหน้าที่มีความอ่อนโยนต่อผิวเป็นพิเศษ ผลข้างเคียงจากการเลเซอร์หลุมสิวอาจเกิดขึ้นเล็กน้อย เช่น
- กรณีคนที่มีผิวหน้าบางมากเป็นพิเศษ อาจเกิดรอยแดงบนใบหน้า ซึ่งจะค่อยๆหายไปเองใน 3-7วัน
- หลังการทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว ใบหน้าอาจมีอาการบวมเล็กน้อย การประคบเย็นหรือประคบน้ำแข็ง ช่วยช่วยลดอาการบวมและลดรอยแดง
- ช่วง 12-48 ชั่วโมงหลังเลเซอร์รักษาหลุมสิว อาจมีอาการคันยิบ ๆที่ เนื่องจากผิวหน้าเกิดการระคายเคือง แต่หลังจากนั้นจะค่อย ๆ หายไป
สรุป
การเลเซอร์รักษาหลุมสิว เป็นการยิงแสงเลเซอร์เข้าสู่บริเวณผิวที่มีปัญหา เป็นหลุมสิวหรือรูขุมขนกว้าง ด้วยเครื่องเลเซอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรักษาหรือรูปแบบการรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกและเห็นผลได้อย่างชัดเจน เมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 1-3 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงลดรอยหลุมสิวและริ้วรอยต่าง ๆ ยังช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเลเซอร์เป็นรังสีที่มีความเข้มข้นสูง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างความชุ่มชื้นแก่ผิว การรักษาหลุมสิวยังไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก เพราะปัจจุบันมีคลินิกหรือศูนย์ศัลยกรรมความงามให้บริการมากมาย เพียงเลือกคลินิกหรือศูนย์ศัลยกรรมความงามที่มีคุณภาพ จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งมีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้บริการ ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าการรักษาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ด้วยเลเซอร์ นั้นปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ตอบโจทย์ความต้องการแน่นอน
ความหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่กระชับ ขาดความยืดหยุ่น ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามวัยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัยหากขาดการบำรุงดูแลที่ดี นอกจากนั้นยังมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของคนเรา เพื่อให้รู้ทันปัญหาผิวพรรณ บทความนี้ เมโกะ คลินิก มีวิธีฟื้นฟูยกกระชับหน้า มาแนะนำค่ะ
ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ
ริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ ทั้งที่เกิดขึ้นก่อนวัยและริ้วรอยตามวัยจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวและเนื้อเยื่อ ล้วนส่งผลต่อบุคลิกภาพ ทำให้หลาย ๆ คนขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งสำคัญยังทำให้ผิวหน้าดูอายุมากกว่าความเป็นจริง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะปัจจุบันมีเครื่องยกกระชับหน้า นวัตกรรมยกกระชับปรับรูปหน้าเรียว ช่วยให้สวยเยาว์วัยโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ต้องรู้ก่อนว่าปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าของเราเกิดจากอะไร
สาเหตุปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ
การมีผิวพรรณที่สวย สดใส มีความเต่งตึงกระชับ เป็นเพราะโครงสร้างผิวมีการผลิตคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น มีส่วนในกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง และช่วยพยุงโครงสร้างของผิวหนังให้เต็งตึงอยู่เสมอ เมื่ออายุที่มากขึ้น โครงสร้างผิวของเริ่มอ่อนแอลง ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวพรรณหย่อนคล้อยตามมา สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ
1.อายุที่มากขึ้น
ในแต่ละช่วงวัยการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินก็จะแตกต่างกัน เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ให้ความชุ่มชื้นและทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับ จะลดลง ความเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณและริ้วรอยต่าง ๆ แต่ละช่วงวัยจะเริ่มเห็นได้ชัดเจน เช่น
- อายุ 20 – 29 ปี ช่วงปลาย ๆ จะเริ่มมีริ้วรอยบาง ๆ รอบดวงตาเนื่องจากร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้น้อยลง
- อายุ 30 ปีขึ้นไป โครงสร้างชั้นผิวหนังแท้เริ่มมีปัญหาเพิ่มขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินลดลงมาก ผิวหนังเริ่มมีความแห้งกร้านร่วมกับความหย่อนคล้อย คนที่สนใจดูแลผิวพรรณตนเอง อาจเริ่มนวดหน้าด้วยมือ ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อยกกระชับ และเติมความชุ่มชื่นให้ผิว
- อายุ 40 ปีขึ้นไป ในช่วงวัยนี้ นอกจากร่างกายจะผลิตคอลลาเจนรวมทั้งอิลาสตินน้อยลงแล้ว การกักเก็บน้ำในชั้นผิวเริ่มเสื่อมลง ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อย และเริ่มเห็นชั้นคอเหี่ยว คอหย่อนคล้อยได้อย่างชัดเจน
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ผิวหนังมีความหย่อนคล้อยมาก ชั้นไขมันหายไปทำให้ใบหน้าเหี่ยว ย่นกล้ามเนื้อบนใบหน้าอ่อนแอและยุบตัวลง
- อายุ 60 ปีขึ้นไป ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย ผิวไม่กระชับ มีความหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณลำคอเหี่ยว คอย่น และผิวหนังลำคอหย่อนคล้อย
2.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนมีการการเปลี่ยนแปลง และผลิตได้น้อยลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังชั้นในเกิดความหย่อนคล้อย โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพลงทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยตามมา
3.เกิดจากแสงแดด
รังสี UV จากแสงแดด คือสาเหตุสำคัญที่ให้ผิวอ่อนแอ เมื่อเผชิญแสงแดดบ่อย ๆ รังสี UV จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ เข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้ผิวขาดความหยืดหยุ่น ใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ
4.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ นอกจากร่างกายของเราได้พักผ่อน ในขณะที่นอนหลับร่างกายจะซ่อมแซมเซลล์ผิว กระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนที่สำคัญต่อโครงสร้างของผิว ทำให้ผิวเต่งตึงในทางตรงกันข้าม หากนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อผิวพรรณ ใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ยกกระชับ คอเหี่ยว
5.ความเครียด
คนที่มีความเครียด มักแสดงสีหน้าทางอารมณ์ เช่น การขมวดคิ้ว หน้าบึ้ง นอกจากทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าแล้ว ความเครียดยังทำให้ร่างกายหลังสาร Adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้อวัยวะเสื่อมเร็วขึ้น
6. การออกกำลังกายหรือลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี
การออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือต้องการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน จนเกิดการลดสัดส่วนลงในเวลาอันสั้น สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผิวหน้าเหี่ยวย่นมีความหย่อนคล้อยไม่กระชับได้ เนื่องจากมีการลดไขมันที่เร็วเกินไป ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น
7. ขาดการบำรุงดูแลสภาพผิว
ผิวพรรณที่ขาดการบำรุงดูแลอย่างสม่ำเสมอ เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผิวพรรณไม่แข็งแรง การบำรุงผิวพรรณตั้งแต่ยังไม่เกิดปัญหา โดยดูแลตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก เช่น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงดูแลผิวเป็นประจำ นอกจากป้องกันปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าและคอ ยังช่วยเผยผิวใหม่ที่ดูกระจ่างใสขึ้น
การยกกระชับหน้า ทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง
ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย เหี่ยวย่น จากอายุที่มากขึ้นหรือผิวสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน ปัจจุบันการยกกระชับ ทำให้ผิวหน้าเต็งตึงกระชับขึ้นทำได้ไม่ยาก และมีหลากหลายเทคนิควิธีให้เลือก เช่นการผ่าตัดดึงหน้า ยกกระชับใบหน้าด้วยหัตถการทางการแพทย์ และกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทาง
การแพทย์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยให้แก้ปัญหาริ้วรอยความหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ละเทคนิควิธีก็จะเหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล ดังนี้
1.การผ่าตัดดึงหน้า
ผ่าตัดดึงหน้าเป็นการศัลยกรรมช่วยยกกระชับผิวให้กับคนมีปัญหาความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะปัญหาริ้วรอยความหย่อนคล้อยจากวัยที่มากขึ้น เนื่องจากปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าค่อนข้างมาก ศัลยแพทย์จะทำการกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนัง พร้อมทั้งดึงกล้ามเนื้อให้กระชับ ช่วยแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ได้อย่างเห็นผล
2.การดึงหน้าด้วยหัตถการทางการแพทย์
หัตถการทางการแพทย์ หรือหัตถการความงาม หมายถึง การเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ มีหลายประเภท เช่น การฉีดสารยกกระชับ เลเซอร์ โบท็อกซ์ ร้อยไหม หรืออื่น ๆ รวมถึงวิธียกกระชับหน้าง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง อย่างเช่น นวดกระชับใบหน้า นวดหน้าด้วยมือ
3.กระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์
ปัจจุบันการยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์มีอยู่มากมาย ที่สามารถช่วยเเก้ปัญหาผิวหน้าความหย่อยคล้อยให้เต็งตึง ยกกระชับ ได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว เช่น การทำ hifu หรือ แก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับด้วยการทำ Ultrasound
การยกกระชับหน้าด้วยการทำ Ultrasound คืออะไร
เทรนด์การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ การทำ Ultrasound หรือ อัลเทอร่า นวัตกรรมยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีการฉีดตัวยาใด ๆ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ หลังทำไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น และสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
การทำ Ultrasound ยกกระชับหน้าได้อย่างไร
Ultrasound หรือ อัลเทอร่า คือ เทคโนโลยียกกระชับที่นำคลื่นความถี่สูง และมีความเฉพาะเจาะจง ยิงลงไปใต้ชั้นผิวเพื่อให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้น โดยเครื่อง อัลเทอร่าจะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงออกมาเป็นจุดเล็ก ๆ ใต้ชั้นผิวหนังในชั้นต่าง ๆ ได้แก่ ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมันระดับตื้นใต้ผิวหนัง และชั้น SMAS ซึ่งจุดรวมของความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อชั้น SMAS ใหม่ที่แข็งแรง ส่งผลให้เกิดการยกตัวของผิวหนังบริเวณใบหน้า อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการสร้าง คอลลาเจล และอิลาสตินในปริมาณที่มากขึ้น จึงช่วยแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ ได้อย่างเห็นผลโดยไม่ต้องผ่าตัด
การทำ Ultrasound ยกกระชับหน้า เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ประสบปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย และลำคอหย่อนคล้อย
- ผู้ที่ต้องการกระชับผิวปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก หนังตาตก ขอบตาล่างหย่อนยาน
- กระชับผิวบริเวณใต้คาง และรักษารอยย่นบริเวณคอ
- ผู้ที่มีเนื้อใต้คางมาก และต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวแบบ V Shape
- ผู้ที่มีปัญหา ร่องแก้มลึก มุมปากตก
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง แต่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับเปล่งปลั่ง เพราะการทำ Ultrasound ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชั้นลึกได้
Ultrasound ทำบริเวณไหน ช่วยอะไรได้บ้าง
- การทำ Ultrasound บริเวณใบหน้า เพื่อช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น ยกกระชับหน้าเรียว และลดปัญหาความย่อนคล้อยบนใบหน้า
- Ultrasound บริเวณใต้คาง และลำคอ เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว ลดปัญหาเหนียงใต้คาง และผิวที่หย่อนคล้อย
- ทำ Ultrasound บริเวณเนินอก ช่วยให้มีเนินอก และได้อกที่ตึงกระชับ
- Ultrasound บริเวณท้องแขน และ หน้าท้อง ช่วยเพิ่มความกระชับ ลดความย้วยและหย่อนคล้อยของผิว
การเตรียมตัวก่อนทำ Ultrasound
การทำอัลเทอร่า หรือ Ultrasound ผู้รับบริการไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมาก ไม่มีข้อห้ามในการทำ เพียงเข้ามาพบแพทย์ เพื่อปรึกษาแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับ โรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด หรือเคยมีการศัลยกรรมอื่น ๆ บนใบหน้า หากแพทย์พิจารณาแล้วเหมาะสมที่จะทำ ก็สามารถทำได้เลย
อาการหลังทำ Ultrasound และการดูแลตนเอง
อาการหลังทำ Ultrasound ผู้รับบริการสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงจากการทำอย่างชัดเจน โดยผิวหน้าจะยกกระชับหน้าขึ้นประมาณ 30% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และจะค่อย ๆ เห็นผลขึ้นเรื่อย ๆ ช่วง 3 เดือนแรกหลังทำ อาการที่เกิดขึ้นได้หลังทำและการปฏิบัติตัวทำได้ ดังนี้
- อาการบวม ถือเป็นเรื่องปกติของการทำ Ultrasound และอาการบวมจะหายภายใน 2-3 วัน
- บางรายอาจรู้สึกบวมใต้ผิว ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เมื่อลองกดลงไปบริเวณที่ทำ Ultrasound จะรู้สึกเจ็บ อาการนี้สามารถหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์
- หลังทำ Ultrasound ควรงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือความร้อนหลังทำ 4-5 วัน หากต้องเผชิญแสงแดด หรืออยู่กลางแจ้งควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การทำ Ultrasound ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ข้อดี ของการยกกระชับหน้าด้วยการทำ Ultrasound
- เป็นการยกกระชับหน้า ยกกระชับหน้าเรียว และแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่เกิดรอยแผล
- การทำ Ultrasound ยกกระชับ สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำ โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้น ในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
- การทำ Ultrasound ยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี โดยผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลรักษาหลังการทำ
- การทำ Ultrasound ยกกระชับ หากทำตั้งแต่เพิ่งเริ่มมีปัญหาหรือมีความหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย จะสามารถช่วยชะลอความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้
- หลังทำไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้า หรือทาครีมกันแดด และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ข้อเสีย ของการยกกระชับหน้าด้วยการทำ Ultrasound
การทำ Ultrasound เพื่อแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยและยกกระชับ ขณะทำอาจรู้สึกเจ็บ เหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิว แพทย์อาจใช้ยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ปัจจุบันคลินิกความงามได้มีการพัฒนาโปรแกรมทำให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพและผลลัพธ์การรักษาที่ดี เช่น การให้บริการของยกกระชับปรับรูปหน้า จาก เมโกะคลินิก
สรุป
ปัจจุบันการแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คอเหี่ยว หน้าไม่ยกกระชับ มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยยกกระชับผิว ยกกระชับหน้าเรียว การทำ Ultrasound ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมความงามที่กำลังเป็นเทรนด์นิยม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนตั้งแต่ทำครั้งแรก สำหรับใครที่สนใจทำ Ultrasound เมโกะคลินิก มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์มายาวนานในการใช้เครื่องมือแท้ทันสมัย รวมทั้งเลือกใช้เครื่อง อัลเทอร่า ที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) สามารถตรวจสอบได้