แน่นอนว่าการมีผิวหน้าที่ดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำลายความมั่นใจของใครหลายๆคน ซึ่งปัญหานี้จึงทำให้ต้องพึ่งคลินิกเสริมความงาม เพื่อฟื้นฟูผิวหน้าให้กลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยวิธีเสริมความงามก็มีให้ได้เลือกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน แต่มีอยู่หนึ่งวิธีการเสริมความงาม ที่ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ และหลายคนก็น่าจะรู้จักกันดี นั่นก็คือ การฉีด Filler
โดยในบทความนี้ Meko Clinic จะมาพูดถึงเรื่องต่างๆที่คุณควรรู้ก่อนจะตัดสินใจฉีด Filler ไม่ว่าจะเป็น ประเภทของ Filler บริเวณที่สามารถฉีดได้ ทำไมถึงควรฉีด และอีกหลายเรื่อง มาดูกันเลยค่ะ
ทำความรู้จักกับ Filler
การฉีด Filler เป็นการยกกระชับใบหน้าให้กลับมาดูอิ่มฟู เติมร่องริ้วรอยลึกให้ดูตื้นขึ้น โดยใช้สาร HA หรือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งสารนี้เป็นสารที่ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย เมื่อฉีดลงไปแล้วสารนี้จะเข้าไปทดแทน และเติมเส้นใยคอลลาเจนที่เสื่อมสลายลงไป ส่งผลให้ผิวหน้ากระมาดูกระชับ และเต่งตึงได้อีกครั้ง
แต่นอกจาก Filler จะทำให้ผิวดูกระชับ เต่งตึงแล้ว ยังจะสามารถช่วยเสริมคาง ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื่น รูขุมขนดูเล็กลง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวช่วยเสริมความงามที่มีคุณประโยชน์หลากหลายทีเดียว
Filler มีให้เลือกกี่ประเภท?
ก่อนจะทำการรักษาเราควรรู้ก่อนว่า Filler มีให้ได้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีจุดประสงค์ดังนี้
- Filler แบบชั่วคราว จะเป็นการฉีดสารไฮยาลูโรนิคแอซิดลงไป ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี มีความปลอดภัยสูง และสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
- Filler แบบกึ่งถาวร สารที่เอามาใช้ฉีดปกติจะเป็นสารโพลีอัลคิลลิไมด์ หรือสาร PMMA โดยการฉีดแบบนี้จะอยู่ได้ประมาณ 2-5 ปี แต่สารจะไม่สลายไป 100% และยังจะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงได้ เพราะเป็นการฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย
- Filler แบบถาวร การฉีดในแบบนี้จะนำน้ำมันพาราฟิน หรือซิลิโคนเหลว มาฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ไม่สามารถสลายเองได้ และจะส่งผลข้างเคียงในระยะยาว หรืออาจจะเกิดการอักเสบรุนแรงได้
บริเวณที่นิยมฉีด Filler
จริงๆแล้วการฉีด Filler สามารถฉีดได้หลายบริเวณตามร่างกาย แต่ตำแหน่งที่มักจะได้รับความนิยมจะเป็นบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก ใต้ตา ปาก คาง หรือฉีดปรับรูปหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ในการฉีดบางบริเวณก็ควรจะตัดสินใจให้ดี บวกกับปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากใบหน้าของเรามีแขนงเส้นเลือดแดงจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ยิ่งแถวบริเวณหน้าผากและจมูก หากเลือกแพทย์หรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเองได้
สิ่งที่ควรทำหลังจากฉีด Filler
หากต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์อย่างยาวนาน ควรจะดูแลตัวเองหลังจากรักษา ดังนี้
- ไม่ควรนวด กด หรือสัมผัสแรงๆบริเวณที่ฉีดมา เพราะอาจจะทำให้ Filler เคลื่อนที่ไปจากบริเวณที่ฉีดได้ หรือในบางคนหลังฉีดอาจมีอาการระคายเคือง ทางที่ดีไม่ควรเกา เพราะอาจอักเสบได้ แต่ถ้าอาการคันยังไม่หายภายใน 3 วัน ควรไปปรึกษาแพทย์
- ก่อนฉีด และหลังฉีด ควรเลี่ยงการทานอาหาร หรืออาหารเสริมบางชนิดที่มีส่วนประกอบของกรดผลไม้ เช่น กระเทียม โสม วิตามินอี เพราะสารเหล่านี้จะทำให้คนไข้เสี่ยงเกิดอาการช้ำได้ง่าย
- เลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อนใน 48 ชั่วโมงแรกหลังจากรักษา เพราะความร้อนจะทำให้ผิวยืดหดมากกว่าปกติ และจะส่งผลกับการเซ็ตตัวของ Filler
- 2-3 วันหลังจากรักษาให้หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ ถอน ย้อมสีขน หรือใช้ครีมกำจัดขน เพราะผิวบริเวณที่ทำมาจะมีความบอบบางกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเสี่ยงต่อการอักเสบได้
- เนื่องจาก Filler คือสารไฮยาลูลอนิคซึ่งสามารถอุ้มน้ำได้ดี เพราะอย่างนั้น หลังฉีดไปแล้ว 4-5 วัน ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว การที่ดื่มน้ำมากๆ จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และดูเป็นธรรมชาติขึ้นด้วย
สนใจฉีด Filler ให้ Meko Clinic ดูแลคุณ
Meko Clinic พร้อมดูแลทุกท่านด้วยความใส่ใจ พร้อมกับคุณภาพในการรักษาที่คุณต้องพึงพอใจกับผลลัพธ์ เพราะเราเพรียบพร้อมไปด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างครบครัน และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงสามารถไว้วางใจกับการรักษาของเราได้อย่างแน่นอน
หากสนใจการฉีดฟิลเลอร์(Filler) สามารถดูรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ คลิ๊ก